กลอนพาไป

กลอนพาไป
เรียนหมอนั้นเหนื่อยยาก ต้องลำบากขึ้นวอร์ดไป
ขนส่งเดินบันได ต้องเข้มแข็ง จนหน้ามัน
ค่ำเย็นต้องฝืนใจ อยู่เวรไซร้ เอือมทั้งนั้น
พลังงานก็หมดกัน โอ้ลูกหลานจำจงดี
โดย นักศึกษาแพทย์กล้า
ขอขอบคุณ แรงบันดาลใจจากโฆษณาประหยัดพลังงานสมัยบรรพบุรุษ

ความรักของข้าพเจ้า

ความรักของข้าพเจ้า

เวลาพูดถึงอาชีพหมอแล้ว คนมักมองกันว่า พวกหมอเป็นกลุ่มคนที่เคร่งเครียด จริงจังกับชีวิต ใส่แว่น อ่านหนังสือมาก เรียนหนัก วันๆไม่มีเวลาว่างทำอะไรสักเท่าไร

ข้าพเจ้าเป็นนักศึกษาแพทย์ ผู้ซึ่งต่อไปจะจบเป็นหมอ แม้คนจะว่ากันว่าข้าพเจ้าเป็นคนจริงจังกับชีวิตมากไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เหมือนกับที่เขาว่ากันสักเท่าไร

ตัวข้าพเจ้าทำกิจกรรมหลายอย่าง และเป็นนักกิจกรรมมากมายกว่าการเรียนเสียอีก แต่ก็ไม่ทำให้การเรียนเสียมากมายนะครับ รวมถึงมีเรื่องผ่อนคลาย และยังเล่นเกมคอมพิวเตอร์เยอะอีกต่างหาก

วันนี้จึงจะมาเขียนเรื่องอื่นที่ดูไม่เครียด วิชาการ หรือการเมืองเกินไป

วันนี้ไม่ได้มาเขียนเกี่ยวกับเรื่องกิจกรรม ความสามารถพิเศษของตนเองหรอกครับ แต่จะมาเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่ในโลกนี้

เรื่อง ความรัก” นั่นเองครับ

และในฐานะที่เกี่ยวกับประสบการณ์ตรง จึงเป็นที่มาของชื่อเรื่องว่า ความรักของข้าพเจ้า” นั่นเองครับ และเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเห็นหมอจะพูดกันเท่าไร ที่เห็นหมอพูดอยู่มากตามรายการทีวี มักเป็นเรื่องเพศสัมพันธ์กันเสียมากกว่า (ซึ่งไม่ใช่ความรักเสียทั้งหมด)

I-love-you-much-Abstract-01

ข้าพเจ้าเอง เคยมีแฟนหลายคน ต่างกรรมต่างวาระ บ้างชอบพอกันไม่กี่เดือน บ้างชอบกันเป็นปี บ้างเป็นหลายปี แต่สุดท้าย ความสัมพันธ์มักสิ้นสุดลง เพราะถูกทิ้ง และกว่าครึ่งหนึ่งคงเป็นเพราะว่าห่างไกลกัน

ก็คงอย่างที่เขาว่า รักแท้แพ้ใกล้ชิด” กระมังครับ

พอมาเรียนหมอนี้นั้น ตอนแรกก็ไม่ค่อยได้คิดเกี่ยวกับเรื่องความรักนี่สักเท่าไร (จริงๆแล้ว ตั้งแต่วัยละอ่อนมานั้น ก็ไม่เคยคิดหรอก มักจะมีแฟนโดยไม่ได้ตั้งใจ)

เห็นบรรดาอาจารย์หมอ หรือคุณหมอรุ่นใหญ่ทั้งหลาย มักจะมีแฟนเป็นหมอด้วยกัน หรือมีแฟนเป็นพยาบาล ส่วนตัวก็เลยคิดว่า ไว้เรียนจบค่อยว่ากันถึงอนาคตด้านความรัก ตอนนี้ความเรียนและการงานต้องมาก่อน

เขาว่ากันว่า ความรักเปรียบเสมือนผีเสื้อ” ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งหาไม่เจอ แต่หากอยู่เฉยๆ แล้ว วันหนึ่งผีเสื้อก็จะเข้ามาเกาะเราเอง ก็เลยเพราะความไม่ตั้งใจนั้นแหละ ก็ได้ประสบพบอีก มีแฟนอีกคนหนึ่ง

น่าสงสารบรรดาเหยื่อผู้หลงผิดมาหาข้าพเจ้าจริงๆ (ฮา)

แต่สุดท้าย ครั้งล่าสุด คบกันเป็นปีๆ แต่ข้าพเจ้าก็ถูกทิ้งเช่นกันครับ

ข้าพเจ้าเศร้าไปเป็นครึ่งปี ช่วงแรกๆทรมานเหมือนตายทั้งเป็น เหมือนคู่ชีวิตเสียชีวิตไป ถึงขนาดนั้น

คุณแม่กลัวจะฆ่าตัวตายก็มาเยี่ยม พาอาจารย์นักจิตวิทยามาพูดคุย กลายเป็นภารกิจของทั้งครอบครัว และผู้ใกล้ชิด วุ่นวายกันข้ามประเทศ ต้องเดินทางกันมาจากทั่วสารทิศ ช่วยเหลือนายชเนษฎ์ ด้วยความรักนั่นเอง

คุณอาช่วยเหลือ อาจารย์ช่วยเหลือ น้องช่วยเหลือ เพื่อนสนิท เพื่อนแท้ ช่วยเหลือ ฯลฯ

หลังจากครึ่งปีที่เกือบจะเป็นบ้าไป สักพัก ข้าพเจ้าก็ตั้งสติได้

หันมามองตนเอง จึงรู้จักคำๆนี้มากขึ้น คำว่า ความรัก”

ไม่กี่วันมานี้ เผอิญได้ไปเข้าค่ายจริยธรรมที่เมืองกาญจนบุรี ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น คิดอะไรมากขึ้น ก็ได้ค้นพบว่า

ข้าพเจ้ามีความรัก

ถ้าเรื่องผู้หญิงแล้วละก็ ข้าพเจ้ายังรักใครบางคนอยู่มากครับ แม้ว่าทุกวันนี้จะไม่ได้เป็นแฟนกัน

แต่ในจิตใจลึกๆแล้วก็พบว่า มันเกิดความรู้สึกที่ไม่เคยมีให้กับใคร แม้จะเลิกกันจะเป็นปีแล้ว ลึกๆก็ยังฝันถึงอยู่ คิดถึง

รำลึกถึงความงดงาม ความดี ที่มิใช่ความหลงเพียงรูปลักษณ์ภายนอก หากแต่เป็นการศึกษาเรียนรู้ เข้าใจกัน มีความคิด และการกระทำอันดี มีคุณค่าและประโยชน์ต่อสังคม

โอ นี่หรือคือ ความรัก

ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก

สุดจะหักห้ามจิตจะคิดไฉน

ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป

แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ

(ขอกราบขอยืมท่านสุนทรภู่ มาจากนิราศภูเขาทอง ครับ)

ในกรณีที่ยกตัวอย่างมานี้ แม้จะเป็นรักข้างเดียว ที่ไม่มีวันบรรจบ หากแต่ความงามมิใช่วัดกันด้วยการบรรจบ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรามองเองต่างหากนะครับ

เพราะจริงๆแล้ว ตอนนี้ ความรักของข้าพเจ้าก็ยังงดงามอยู่ครับ

ข้าพเจ้ายังมีความรักที่สมหวัง

ความรักที่สมหวัง สำหรับข้าพเจ้า ก็คือ ครอบครัวของข้าพเจ้าที่อบอุ่น คุณพ่อคุณแม่ คุณย่า น้องๆ และญาติพี่น้อง ที่รัก เข้าใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่เสมอ

ความรักเอย คำที่ใช้กันพร่ำเพร่อบนโลกใบนี้

ในขณะที่คู่รัก หรือสามีภรรยา กลับเลิกกันไม่เว้นแต่ละวัน ครอบครัวแตกแยก ลูกขาดพ่อแม่ ขาดความอบอุ่น

ขณะที่วัยรุ่น นักศึกษาหลายคน คิดสั้นเพราะอกหัก บ้างกระโดดตึก บ้างยิงกัน บ้างทำร้ายกัน ทำร้ายตนเองจนลืมไปว่าทำให้คนที่รักเราจริงๆเสียใจ

ท่ามกลางความรักที่สิ้นคิดทั้งหลายนั้น หากหันกลับมามอง ยังมีความรักที่อยู่เหนือกว่านั้นอีกมากมาย ความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

ความรักของคุณพ่อคุณแม่ พี่น้อง ความรักของเพื่อนแท้ ที่อยู่กับเรายามยาก ยามทุกข์

เห็นไหมล่ะครับว่า ผีเสื้อได้มาเกาะที่ตัวเราอยู่มากมาย แต่เรามัวแต่หลงไหลในผีเสื้อตัวเดียว พยายามวิ่งไขว่คว้า จนลืมไปว่ามีคนอีกหลายๆคนที่รักเรา

ข้าพเจ้าซาบซึ้ง และขอขอบคุณทุกชีวิต ที่เคยเกื้อกูลข้าพเจ้ามาบนโลกใบนี้ นี่คือความรักที่หลายคนเคยมอบให้เราโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

สำหรับการเรียนที่เห็นได้ชัด คือ อาจารย์ผู้สอนที่เมตตากรุณาสอนสั่ง

สำหรับการทำงาน คือผู้ร่วมงานที่ดี ที่มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ต่อกัน

สำหรับการสังคม คือผู้คนที่ดีกับเรา เป็นต้น

หากได้อ่านบทความนี้แล้ว สำหรับหลายๆคนที่ทุกข์ใจกับเรื่องความรัก ลองเปลี่ยนวิธีคิดดูนะครับ ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีคนที่รักเราอยู่มาก ที่เราลืมมองไป

และจึงเข้ากับคำที่เขาว่า “จงรักคนที่เขารักเรา” รักครอบครัว รักพี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อนฝูง

ชีวิตก็เป็นสุขมากแล้วล่ะครับ ชีวิตหนึ่งที่มีความรัก

ทิ้งท้าย สิ่งที่ข้าพเจ้าสงสัยนิดเดียวเท่านั้น คือ ข้าพเจ้าแปลกใจมากกับผลการวิจัยที่เคยได้ยินมาว่า

กันง่ายๆว่า ผู้หญิงมีให้เลือกมากกว่าผู้ชาย ถึง แปดเท่า ผู้ชายน่าจะมีสิทธิ์และโอกาสมากกว่า

แต่ทำไม ข้าพเจ้าถึงยังอกหัก ถูกทิ้งโดยตลอดครับนี่ ฮ่า

ปล. อ่อ จริงๆแล้ว เดี๋ยวนี้นักศึกษาแพทย์มักเป็นเพศทางเลือกกันมากขึ้น แต่ในบทความนี้ อดีตแฟนของข้าพเจ้าก็ยังเป็นผู้หญิงนะครับ ฮา

แจ้งเบาะแสเว็บไซต์หมิ่นกษัตริย์

เอกยุทธ อัญชันบุตร กล่าวไว้ว่า
“ทักษิณกลับมาคราวนี้ ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเลยทีเดียว”


ข้าพเจ้าได้ค้นพบเว็บไซต์หนึ่ง ซึ่งผู้คนสามารถเข้าได้อย่างแพร่หลาย
คิดว่า มีเนื้อหาหมิ่นพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก
http://chakridynasty.googlepages.com “รู้ทันราชวงศ์จักรี”
ข้าพเจ้าได้แจ้ง 1111 สายด่วนรัฐบาล และ 191 ตำรวจไทย ไปเรียบร้อย เมื่อคืนวันที่ 11มีนาคม2551
หวังว่าเว็บไซต์นี้จะถูกลบโดยเร็ววัน

ขอยินดีต้อนรับ ฯพณฯ ทรราชย์ กลับประเทศ

จริงๆ ไม่คิดว่าจะมีการเขียนบทความใดๆ จนกว่าจะสอบ ศรว. หรือใบประกอบขั้นที่1 เสร็จ (การสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ ขั้นตอนที่1) 8มีนาคม2551
 
แต่ขอแทรกบทความด่วน
 
เพื่อต้อนรับการกลับมาของ ทักษิณ หลังจากข่าวสารข้อมูลแน่นอนแล้ว ว่า ท่านแม้วจะกลับประเทศไทย ในวันนี้ 28 กุมภาพันธ์
 
โปรดร่วมแสดงความยินดี
ต้อนรับแม้ว
 
24
"ทรราชย์มิวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา"
 
 

 
ประเทศชาติวุ่นวายมากครับ ช่วงนี้ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ
ในส่วนเกี่ยวกับบรรดาคุณหมอนั้น ก็มีความเปลี่ยนแปลง
 
และเผื่อผู้สนใจ ก็ขอเล่าเรื่องกรมการแพทย์ กำลังจะมีการเปลี่ยนอธิบดี
(รัฐบาลสมัคร ย้ายแหลก รวมถึงย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อเตรียมรับแม้ว จนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เขาออกมาโวยนั่นไง)
 
แต่สื่อมวลชน จับประเด็น ตรงที่ อธิบดีคนเก่า อ.หมอ ชาตรี บานชื่น ท่านจะไปเป็นเลขาธิการฯ อย. แทน เพื่อจัดการเรื่อง CLยา
(จะยกเลิกยามะเร็ง ยาหัวใจ ฯลฯ ราคาถูก และให้ราคายากลับมาแพงกว่ากว่าหลายสิบเท่า)
 
 
ปัญหาเกี่ยวกับ CLยา เราจะไม่พูดถึงกัน
แต่ในส่วนกรมการแพทย์ ที่เกี่ยวข้องกับนักศึกษาแพทย์รังสิตชัดเจนก็คือ
แพทย์รังสิต เรียน3ปีหลัง กับโรงพยาบาลราชวิถี สังกัดกรมการแพทย์นี่น่ะสิครับ
และผู้ที่ช่วยอำนวยความสะดวก มีอำนาจคุมให้โรงพยาบาลราชวิถี(โดยเฉพาะผู้บริหารบางท่าน) ไม่มีปัญหากับรังสิตมาโดยตลอด คือ อธิบดีคนเก่า อ.หมอ ชาตรี บานชื่น นั่นเอง และท่านเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ดีกับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์
 
อธิบดีคนใหม่ ที่กำลังจะมา นั้นเป็นคนนอก นามว่า นพ.เรวัต วิศรุตเวช
ในส่วนข้อมูลเบื้องลึกนั้น คงไม่สามารถบอกอะไรได้มากในตอนนี้
 
แต่บรรดานักศึกษาแพทย์ที่เรียนรังสิตกันอยู่ ก็ควรต้องรับรู้กันมากขึ้น
และต้องจับตามองกันว่า จะมีผลกระทบต่อไปอย่างไรหรือไม่?
 
 
บางที อาจมีผลกระทบถึงความเป็นอยู่ และบุคคลที่พวกเราเคารพรักมาโดยตลอดได้ครับ

ฟ้องหมอ + ราตรีศรีตรัง ครั้งที่4

 
 ระยะหลังมานี้ พื้นที่บนเว็บนี้ของข้าพเจ้าเริ่มฝุ่นเกาะ เนื่องจากไม่ได้มีบทความใหม่ๆ มาอัพเดทเป็นประจำดังที่เคยเป็นมา
เมื่อสักต้นปี หรือกลางๆปี ตั้งแต่ขึ้นเรียนในชั้นปี3มานี้ ก็ลดจำนวนบทความต่อเดือนลงเยอะ และในท้ายปี กลับกลายเป็นเดือนหนึ่ง เพียง 2-3 บทความ หรือน้อยกว่านั้น
 
จะเขียนมากเพื่ออะไร ข้าพเจ้าเข้าใจดีว่าอาจมีเพื่อนๆ พี่น้อง ผู้ใหญ่ อาจารย์ กลุ่มคนจำนวนไม่มาก ที่สนใจอ่านบทความข้าพเจ้า
แต่จุดประสงค์จริงๆ ตั้งแต่เริ่มตั้งเว็บแห่งนี้ ก็เพราะจะฝึกการเขียน เพื่อก้าวสู่การเป็นนักเขียน ที่เขียนให้คนอ่านรู้เรื่องและมีความสุข นั่นเองครับ
 
 
 
 
ในช่วงนี้ ที่เขียนบทความน้อย จนเหมือนเว็บจะร้าง
ด้วยเหตุผลเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง(แปลว่า ซ้ำเดิม) นั่นคือ เรียนหนัก สอบบ่อย
และหลังจากเขียนบทความนี้เสร็จ ก็จะมีสอบในวันพรุ่งนี้ และไม่กี่วันข้างหน้า อีก2-3วันๆ เป็นระยะๆ เลยไปจนถึงเดือนมกราคม (น่าเศร้าจริงๆ ร้องไห้)
ดังนั้น เหตุผลแผ่นเสียงตกร่องนี้ ก็ยังมีเค้ามูลความจริงอยู่มาก
 
 
การเรียนหมอ เป็นการเรียนที่หนักครับ ไม่ใช่ง่ายๆ และอาศัยความขยันขันแข็ง ความพยายามเพื่อได้ความรู้มาประกอบวิชาชีพโรคศิลป์ ช่วยเหลือผู้ป่วยให้พ้นโรคภัย
 
ถ้าพูดถึงประเด็นหมอแล้ว ผู้ใดเรียนหมอ หรือคนที่ไม่ได้เรียนหมอ ประเด็นที่น่าสนใจในตอนนี้ และสืบเนื่องมาตั้งแต่โครงการ30บาทตายทุกโรคของทักษิณ
 
ก็คือประเด็น "ฟ้องร้องหมอ" ครับ 
 
550000016351801
 
ก็ขอแนะนำกระทู้หนึ่งในเว็บบอร์ดของไทยคลินิกครับ โดยคุณหมอชัญวลีนั่นเองครับ ขึ้นคู่กับกระทู้อาจารย์หมอประเวศ วะสี ครับ
 
ซึ่งมีที่มาจากบทความที่ท่านได้ลงในมติชนครับ http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act01181250&day=2007-12-18&sectionid=0130

 
และขอยกมาไว้ให้อ่านกัน ข้างล่างนี้ครับ
 

 
 
วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10874

"จากหมอถูกตบหน้าจนถึงหมอถูกจำคุก"

โดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข chanwaleesrisukho@hotmail.com

ต้นเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่ จ.ปทุมธานี ญาติคนไข้ไม่พอใจการรักษาญาติที่ป่วยด้วยโรคชรา ได้ต่อว่าหมอว่า อาการคนไข้ไม่ดีขึ้นเลย สถานที่ก็แออัด ร้อนอบอ้าว หมอหญิงไม่ต่อล้อต่อเถียง ได้เดินหนี ญาติจึงเดินเข้ามากระชากคอเสื้อหมอ บีบคอ และตบซ้ำ (สำนักข่าวที-นิวส์)

ต้นเดือนธันวาคม 2550 ศาลทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช พิพากษาจำคุกแพทย์หญิงโรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ หลังฉีดยาชาให้คนไข้เพื่อผ่าตัดไส้ติ่ง ศาลพิพากษาว่าแพทย์หญิงผิดจริงเพราะกระทำการโดยประมาท ตัดสินจำคุก 3 ปี (หนังสือพิมพ์ข่าวสด)

การถูกทำร้ายร่างกาย และการถูกตัดสินจำคุกเป็นการถูกสังคมลงโทษอย่างรุนแรง ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ ทั้งๆ ที่ไม่มีแพทย์คนไหนจงใจอยากให้คนไข้ไม่สุขสบาย ไม่หายจากโรคหรือเสียชีวิต จากปัญหา หรือความผิดพลาดต่างๆ

แพทย์ไม่ใช้สัพพัญญู การแพทย์ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ที่อยู่นอกเหนือกฎแห่งธรรมชาติ แม้ป้องกันเต็มที่ เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ก็อาจเกิดขึ้นและไม่เฉพาะการแพทย์ของเมืองไทย แต่เป็นการแพทย์ทั่วโลก

การรักษาคนไข้ไม่หาย การรักษาคนไข้ไม่เป็นไปดังความต้องการของคนไข้และญาติ การรักษาคนไข้แล้วคนไข้และญาติไม่พึงพอใจ การรักษาแล้วคนไข้ตาย ไม่ได้หมายความว่าแพทย์เป็นคนเลว คนทำผิดเสมอไป น้อยรายที่เกิดจากแพทย์มีสันดานชั่ว ละโมบ ไม่ระมัดระวัง ประมาท ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นปัญหาของระบบ ที่เอื้อให้เกิดปัญหาตามมาด้วยการลงโทษแพทย์ ยกตัวอย่างเช่น

นโยบายการเมือง ตั้งแต่ 30 บาทรักษาทุกโรค จนถึงรักษาฟรีทุกโรค ส่งผลให้จำนวนคนไข้เพิ่มมากขึ้น จนไม่เหมาะสมกับจำนวนผู้ให้บริการ การทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ส่งผลให้เกิดปัญหาและความผิดพลาดเพิ่มขึ้น

ความล้มเหลวของนโยบายกระทรวงสาธารณสุขในด้าการผลิตและการกระจายกำลังทำให้ขาดแคลนแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้าในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ผู้ที่ออกปฏิบัติงานในชนบท ส่วนใหญ่เป็นผู้น้อย ด้อยทั้งความรู้และประสบการณ์

ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้งบประมาณทางด้านสาธารณสุขมีน้อย งบในการจัดซื้อเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยไม่เพียงพอ โรงพยาบาลหลายแห่ง อย่าว่าแต่งบประมาณปรับปรุงสถานที่เลย แม้แต่อุปกรณ์สำคัญในการช่วยรักษาชีวิตคนไข้ที่มีราคาแพง ก็ยังไม่อาจจัดหามาได้

ปัญหาการจัดสรรงบประมาณทางสาธารณสุข ตามรายหัวของประชาชนลงสู่โรงพยาบาลระดับต่างๆ ที่ยังไม่เป็นธรรม ทำให้หลายโรงพยาบาลต้องรัดเข็มขัด เพื่อความอยู่รอด

ปัญหาขาดแคลนแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในระบบราชการ เนื่องจากมีแรงจูงใจและความกดดันทำให้แพทย์ลาออกจากราชการ ทำให้โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปัจจุบันยังไม่มีการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่แก้โดยการผลิตแพทย์เพิ่ม ซึ่งเกิดคำถามว่า ปริมาณที่เพิ่มนั้นมาพร้อมกับคุณภาพหรือไม่

ความไม่เท่าเทียมกันของความเจริญระหว่างเมืองกับชนบทและการขาดสวัสดิการที่จำเป็นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แพทย์ในชนบทขาดแคลน อย่าว่าแต่แพทย์เลย คนทั่วไปถ้าเป็นไปได้ก็อยากเลือกอยู่ในเมืองที่มีความเจริญ มีการศึกษาที่ดีให้ลูกหลาน

ปัญหาค่านิยมของสังคมที่เปลี่ยนไป อาชีพแพทย์ไม่ได้เป็นอาชีพที่มีเกียรติ ฝากผีฝากไข้เชื่อถือได้ เท่าสมัยก่อน มีตัวอย่างของการฟ้องร้อ

จดหมายถึงนางฟ้า

 
 
สวัสดีครับ คุณนางฟ้า
 
ผมสูญเสียสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งในชีวิตไปน่ะครับ
 
 
พรุ่งนี้ก็มีสอบอีกแล้ว เหมือนเคย สอบบ่อย เรียนหนัก
กิจกรรมเยอะ ปัญหาวิทยาลัย ปัญหาการเมืองมหาวิทยาลัย รวมถึงคอยไปยุ่ง ช่วยเหลือเรื่องชาวบ้าน นายกล้าบ้าพลัง
 
ครั้งนี้ จำเป็นที่ผมต้องเขียนถึงคุณนางฟ้า (ซึ่งต้องบอกคนอ่านหลายคนว่านางฟ้านี้ไม่ใช่คนในโลกความจริง)
อาจดูเป็นความเพ้อ หรือไร้สาระของนายกล้า แต่ผมคิดว่าคุณนางฟ้าคงรับจดหมายฉบับนี้ไว้ และเข้าใจผม
 
หลายคนว่า ผมเป็นคนจริงจังกับชีวิต… ผมจริงจังเพราะอุดมการณ์ จริงจังเพราะเป้าหมาย อยากทำประโยชน์ให้สังคมและโลก
 
 
ชีวิตมีทั้งประสบความสำเร็จ และความล้มเหลว
สิ่งที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จได้มาจนถึงทุกวันนี้ เพราะผู้มีพระคุณทั้งหลาย คุณพ่อคุณแม่ คุณย่า พี่หลอม-พี่เลี้ยงคนสำคัญ
เพราะอาจารย์ทุกคน พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ คณาญาติ บุคลากรทุกระดับ
 
ผมระลึก และซาบซึ้งถึงทุกคนที่คอยสนับสนุน ช่วยเหลือ ทำให้ผมได้มีวันนี้…
 
 
โลกเรา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็จะถึงวันดับไป แต่หลายคนไม่ได้ตระหนัก
 
 
ในช่วงระยะเวลาเป็นปีมานี้ ทุกความสุข ความอิ่มเอิบใจ การดำเนินชีวิตไป ก็เพราะสิ่งสำคัญ สิ่งหนึ่ง
 
เพราะสิ่งนี้เอง ทำให้ผมหัวเราะ ทำให้ผมยิ้ม ได้จากความรู้สึกจริงๆของจิตใจ
ทำให้ผมสนุกสนาน
ทำให้ผมนอนหลับสนิท ฝันดี
ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น
ทำให้ผมพัฒนาตัวเองในหลายด้าน
ทำให้ผมพยายามมากขึ้นที่จะใส่ใจในรายละเอียด และจิตใจคน
ทำให้ผมเข้าใจโลกมากขึ้น
ทำให้ผมเป็นคนมากขึ้น
 
 
ผมมองผ่านเปลือกนอก เข้าสู่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน
ผมมองเห็นความงดงามของจิตใจคน
 
คุณนางฟ้าครับ ผมมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้าครามสดใส ผมยินดีกับโลกใบนี้
ผมอบอุ่น
ความรู้สึกที่ไม่ได้เป็นเพียงความฝันดั่งในตอนนี้
 
บางทีผมละเลย ที่จะเข้าใจความเป็นจริง และเห็นคุณค่าของสิ่งสำคัญ
 
ผมปากแข็ง
 
 
 
ในอดีต ทุกครั้งที่เคยมีอุปสรรคต่างๆ ถาโถมเข้ามา
ทุกครั้งที่มีความเศร้า ความทุกข์ ปัญหาต่างๆในชีวิต สิ่งสำคัญจะช่วยผมให้ผ่านพ้นอุปสรรค
 
สิ่งสำคัญที่ชี้ทางออก
สิ่งสำคัญที่คอยสอน คอยย้ำเตือน
สิ่งสำคัญที่อยู่ติดตัว บ่งบอกให้ผมมีสติ มีสมาธิ
 
เพราะมีสิ่งสำคัญนั้น ทำให้ผมอยู่ได้โดยมีกำลังใจมหาศาล
 
หลายครั้งที่ผมล้ม และเมื่อมองไปยังสิ่งสำคัญนั้น ทำให้ผมต้องลุก และเดินหน้าต่อไป
 
ทำให้ผมอยากจะทำสิ่งดีให้โลกน่าอยู่มากขึ้น เหมือนที่พ่อเคยบอก
 
สิ่งสำคัญที่คอยกระตุ้นเตือนผมเสมอว่า "พรุ่งนี้ โลกจะยังมีอยู่นะ"
 
และผมนึกแต่เพียงว่า ทุกวันจะมีความสุข ไปเรื่อยๆ หากจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่เป็นอะไร
 
 
 
 
 
 
 
 
 
วันนี้ ไม่มีสิ่งสำคัญสิ่งนั้นอีกต่อไปแล้ว
ผมไม่เคยคาคคิด อาจไม่ใช่เพราะผมโง่เขลา  หรือเพราะอะไร
 
ผมได้รับสิ่งที่ไม่อยากได้ และรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้รับ เจ็บปวด รู้สึกเหมือนมีชีวิตที่ไม่มีชีวิต
 
ความทุกข์ ความโศกเศร้า อารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไป
 
ผมไม่สามารถที่จะมีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ ได้เหมือนเคย
ไม่สามารถไปไหนมาไหนหรืออยู่คนเดียว
ผมกลัว ผมหมดพลัง
 
โลกที่เคยสดใส กลับกลายเป็นสีดำลง ดำลง
สิ่งที่เคยมีความสุขกับมัน ความสุขเล็กๆ ความรู้สึกเหล่านั้นหายไป
 
 
ผมร้องไห้เกือบทุกวัน มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงสิ่งสำคัญสิ่งนั้น
ได้ยินเสียงเพลงเศร้า น้ำตารินไหล
ดูภาพยนตร์ เล่นเกม ไม่มีความรู้สึกใดใด ไม่ยินดี ไม่ตอบสนอง
ทุกคนที่คอยเข้ามาให้กำลังใจ มากระตุ้น มาเล่าเรื่องสนุกสนาน ตลกๆ ผมกลับไม่สามารถแม้แต่จะร่วมขำ
ใบหน้าที่ซีด โทรม และดูโศกเศร้า…
 
ผมหลับเพื่อลืม เป็นสิบๆชั่วโมง แต่ไม่เคยหลับสนิท และไม่เคยตื่นมาพบแสงสว่างของดวงอาทิตย์
เวลาผ่านไปเป็นหลายสัปดาห์ จนเป็นเดือน เป็นหลายเดือน
ผมไม่สามารถลืม และผมตัดขาดกับสิ่งสำคัญไม่ได้
 
 
ผมพยายามจะออกจากสิ่งเหล่านี้ ผมพยายาม
ผมทำใจยอมรับความจริง การสูญเสีย ทุกสิ่งที่ไม่สามารถอยู่กับเราได้ตลอด มีพลัดพราก มีจากลา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของผมเลย แม้แต่สิ่งเดียว
แต่ผมไม่สามารถตัดความรู้สึกเสียใจ ความเศร้าโศกทั้งหลายได้สักเท่าไร
…เมื่อไม่มีสิ่งสำคัญสิ่งนั้น อีกต่อไป
 
 
 
ผมรู้และเข้าใจถึงมิตรภาพ และความรักที่ทุกคนที่รักผม หยิบหยื่นให้อย่างเต็มที่
ผมมองเห็น
 
เพื่อน และรุ่นน้องบางคนเสียสละเวลามาอยู่กับผมตลอด มากิน มานอน คอยให้กำลังใจ
เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆหลายคนคอยพูด และแสดงความเป็นห่วงใยอย่างมาก
 
คุณพ่อ คุณแม่ผู้ซึ่งทุกข์ใจยิ่งกว่าลูก คอยโทรหา คอยติดตามข่าว
และเดินทางมาหาลูก มาพูดคุย มาเยี่ยมเยียน
คุณอา คุณย่า ผู้ซึ่งรักหลาน พูดคุยให้กำลังใจ
อาจารย์หยวน งดคาบสอบนักศึกษา เพื่อเดินทางมาจากนครสวรรค์ มาพูดคุย ช่วยเหลือผม ทั้งทางด้านจิตวิทยา และด้านสังคม
และอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึง
 
ทุกคนช่วยเหลือผม
 
ผมกราบขอบคุณทุกคนแทบเท้า และไม่มีวันลืมบุญคุณ รวมถึงน้ำใจ สิ่งที่ให้ผมในวันนี้
 
 
 
คุณนางฟ้าคิดว่าผมช่วยเหลือตัวเองไหมครับ?
 
ผมพยายามช่วยเหลือตัวเอง ที่จะก้าวพ้นข้ามกำแพงนี้ แต่ผมทำไม่ได้
บททดสอบที่อาจไม่ได้ใหญ่ที่สุดเท่าที่ประสบมา
แต่สำคัญมากสำหรับผม
 
อดีตกับความหลัง ตอนนี้อยู่กับปัจจุบัน มุ่งสู่อนาคต
 
 
 
คุณนางฟ้าบอกผมได้ไหมครับ? บอกวิธีที่จะก้าวพ้นความทุกข์นี้
 
จริงๆคำตอบมันอยู่ที่ตัวผมเองกระมัง ซึ่งผมเฝ้าค้นหา ยิ่งค้นหาเท่าไร ยิ่งเจอกับเศษเสี้ยวแห่งความหวัง ความล้มเหลวที่กัดกินจิตใจ รอยแผล
 
ผมเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
 
 
การเปลี่ยนแปลงที่ยากลำบาก บททดสอบชีวิต ที่ทุกคนบอกว่าหากก้าวข้ามไป จะย้อนกลับมามองว่ามันเป็นเรื่องเล็ก
 
บางทีผมสับสน ซีมเศร้า ประสาทและบ้า ผมไม่ได้แพ้ ผมไม่ได้ล้มเหลว ไม่ได้ผิด ไม่ได้กระจอก ต่ำต้อย แต่สำหรับสิ่งสำคัญแล้ว ผมไม่เหลืออะไรเลย
 
หลายคนบนโลกทุกข์ทรมานแสนสาหัสยิ่งกว่าผมสักเท่าไร
 
หากไร้แรงบันดาลใจ คงก้าวเดินต่อไปลำบาก
 
ใช่ครับ ไร้เรี่ยวแรง โลหิตสูบฉีดเพียงร่างกาย และสมองและจิตใจไม่ได้ไปด้วยกัน
 
แต่ก็คงต้องบอกนางฟ้าว่า ผมพยายามทำอยู่นะครับ
 
นางฟ้าช่วยให้พรผมบ้างนะครับ
 
ผมพยายามฝ่ากำแพงที่มองไม่เห็นนี้ ด้วยความยากลำบาก คงไม่นานหรอก และคิดว่าเวลายังมีอีกมากสำหรับเรื่องนี้
 
พยายามปล่อยวาง สิ่งสำคัญ เพราะเรายึดมั่น ถือมั่น
 
 
 
 
แต่เพราะสิ่งเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้รู้ว่า ผมยังเป็นคนอยู่
 
 
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
 
ปล. อัพเดทข่าววิทยาลัยแพทยศาสตร์
ศ.คลินิก พญ.บุญเชียร ปานเสถียรกุล ท่านคณบดี และอาจารย์หมอที่รักเด็กทุกคนยิ่งลูก ทำหน้าที่เพื่อนักศึกษาแพทย์อย่างทุ่มเทเต็มที่ สุดชีวิต ทำดีและสร้างประโยชน์แก่นักศึกษาแพทย์ และสถาบันของพวกเราประจักษ์ชัดมาโดยตลอด
บัดนี้ อาจารย์มีปัญหาสุขภาพ และได้พำนักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจาก มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ และติดเชื้อในกระแสเลือด
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาจารย์ท่านมีความเครียดอยู่ และเป็นการเครียดเพื่อนักศึกษาแพทย์ การทำประโยชน์เพื่อนักศึกษาแพทย์ที่อาจทำให้มีปัญหากับบุคคลอื่น
 
จึงเชิญชวน เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และสาธารณชน ร่วมลงชื่อ อวยพร และให้กำลังใจอาจารย์ได้ ที่
 
แม้ช่วงนี้อาจารย์ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่และมาพบ มาดุ มาว่าพวกเราได้ แต่จิตวิญญาณการทำงานของท่านสถิตย์อยู่ในใจพวกเราทุกคน
…ด้วยรักและเคารพท่านประดุจดั่งมารดาแห่งแพทย์รังสิต
 
 
-เนื่องจาก วัน D DAY และประวัติศาสตร์การต่อสู้เรียกร้องของนักศึกษาแพทย์ (ที่ซึ่งประวัติส่วนนี้ และเรื่องราวการต่อสู้ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชน จะอยู่แต่ในความทรงจำ และจิตใจ เป็นอุดมการณ์ร่วมของนักศึกษาแพทย์สืบไป)
 
ทางผู้บริหารระดับสูงสุดของมหาวิทยาลัย มีความตื่นเต้น และแปลกใจ รับรู้ปัญหาที่น่าเป็นห่วงทั้งหลายนี้ และได้ให้เกียรติเชิญตัวแทนแกนนำนักศึกษาแพทย์จำนวนน้อยไปพูดคุยถึงปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงแนวทางแก้ไข
โดยเชิญไป ในช่วงต้นเดือนกันยายน ศกนี้
หากผู้ใดมีข้อเสนอแนะ สามารถส่งได้ที่นายกสโมสรฯ, ประธานรุ่น, แกนนำแต่ละชั้นปี อาทิเช่น ท่านนนทพันธ์, นายปรุฬห์,นส.พีรธิดา รวมถึงตัวข้าพเจ้า
 
ขอบคุณมากครับ

วันดีดีในเดือนสิงหาคม

 
จริงๆแล้ว ช่วงนี้ 8-18 สิงหาคม 2550 เป็นช่วงหยุดการเรียนการสอน[จริงๆก็ยังมีเรียนบ้างเป็นบางวัน]
หยุดการเรียนการสอน อันเนื่องมาจากการที่มหาวิทยาลัยของข้าพเจ้าเป็นเจ้าภาพจัดพิธีเปิด-ปิด งานกีฬามหาวิทยาลัยโลก ครั้งที่24 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
 
ซึ่งไม่ต้องห่วงว่าข้าพเจ้าจะไปวิจารณ์ว่ามหาวิทยาลัยเอาหน้าแต่อย่างไร เพราะเป็นเช่นนั้นมานานและเป็นทุกงานอยู่แล้ว (ฮา)
 
 


 
ลองถามถึงตัวข้าพเจ้าเอง
ตั้งแต่ปีสองปีสามนี้ ข้าพเจ้ามีความขยันและเอาใจใส่กับการดูหนังสือน้อย และหนักทางด้านกิจกรรม รวมถึงงานสังคม
ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าเรียนพอรอดอยู่เสมอ และอีกส่วนเพราะคิดว่าการเรียนหมอสำหรับข้าพเจ้า สามารถจบได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
 
แต่ความคิดนี้เป็นความคิดที่รู้สึกว่าไม่ถูกต้องเท่าไรนัก เพราะว่ายังไม่ได้ทำหน้าที่ทางด้านการเรียนให้สุดความสามารถ ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมาก เท่ากับประโยชน์ส่วนรวม
 
แม้ว่าไม่ได้อยากเป็นหมอเท่าไรนัก แต่ในเมื่อมาเรียนแล้ว และซาบซึ้งถึงจิตวิญญาณความเป็นแพทย์ ซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน ข้าพเจ้าควรพยายามที่จะเป็นหมอ ให้เป็นหมอที่ดีที่สุด ในฐานะคุณหมอกล้า เท่าที่จะเป็นได้
 
ถามว่าการที่ข้าพเจ้าพูดหลายครั้งว่าจริงๆไม่ได้อยากเรียนหมอ จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ท่านผิดหวังหรือเปล่านี่?
 
 


 
จริงๆ ถ้าถามคุณพ่อ คงไม่ผิดความหวังท่านแต่อย่างไร เพราะท่านอยากให้ข้าพเจ้าเรียนด้านอื่นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะการเรียนหมอเป็นงานหนัก และเหนื่อย เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้นั้นไม่คุ้ม แต่ที่ท่านทำทุกวันนี้ เพราะความเป็นหมออย่างแท้จริง และได้บุญ สุขที่ช่วยเหลือผู้คน
 
ถามคุณแม่ คนนี้นี่แหละคือคนที่ภูมิใจกับความเป็นหมอ ซึ่งไว้ตอนหน้า จะเอาบทความที่ท่านเขียน มาลงไว้ เป็นบทความที่ข้าพเจ้าชอบมากมาย และเขียนไว้ได้สักสองสามเดือน สำหรับงาน OPEN HOUSE แพทย์ทุกสถาบันของประเทศไทย 18สิงหาคม2550นี้
 
เมื่อวานที่ผ่านมาเป็นวันแม่แห่งชาติ และข้าพเจ้าได้ส่งsms สุขสันต์วันแม่
 
จากที่เคยกล่าวเสมอว่าที่บ้านข้าพเจ้าจะมีการประชุมกันในบ้านตลอด และหากลูกไม่อยู่บ้าน ก็จะมีteleconference นั้น
มีเรื่องหนึ่งที่ไม่แน่ใจว่าได้บอกคุณแม่หรือไม่ แต่คงเขียนลงblog ทุกปี แล้วคุณหมอก็คงมาอ่านเหมือนเดิม
 
จริงๆวันที่12สิงหาคมนี้ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินี และไม่ได้เป็นวันเกิดของคุณแม่ข้าพเจ้า
แต่ว่าเป็นโอกาสของชนทั้งชาติอันดีที่จะได้ทำดี และบอกรักกับแม่ แสดงความกตัญญู และสัญลักษณ์ ถึงความผูกพันแม่ลูก ทุกที่ทั่วไทย (โดยเฉพาะหนัง-ละครในทีวี)
 
ข้าพเจ้าก็แค่จะบอกว่า สำหรับข้าพเจ้า วันแม่นี้ ไม่ได้สำคัญอะไรกว่าวันอื่นมากมาย
เพราะว่า ข้าพเจ้ารักแม่ทุกวันอยู่แล้ว และไม่มีวันไหนที่จะลืมคิดถึงคุณแม่เลยนะครับ Red heart
 
 


 

สมัยอยู่ MWIT [โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์]

ข้าพเจ้าขอยอมรับอย่างยิ่งเลยว่า ข้าพเจ้ามีสภาพการณ์และชีวิตที่แย่กว่า ณ ปัจจุบันมาก แม้จะอยู่ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นหนึ่งของไทยและอ้างว่ามาตรฐานระดับโลก(ไม่คุยเลย ลองไปพิสูจน์ดู ฮา)
 
เพราะสมัยนั้น จุดมุ่งหมายชีวิตยังไม่ชัดเจนเท่าตอนนี้
สมัยนั้น ทุกวันข้าพเจ้าตื่นสาย ไปเรียนไม่ทัน
สมัยนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีระเบียบวินัยมาก
สมัยนั้น ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้พยายามรู้จักใครเท่าไรนัก เก็บตัว
สมัยนั้น ด้วยปัญหาส่วนตัว และปัญหาทางความคิด หลายอย่าง จึงทำให้ข้าพเจ้าไม่มีความทะเยอทะยานในการเรียนเพื่อที่จะสอบเข้าสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับสูง
ได้เห็นโลกแบบอุดมคติ เพราะว่าสภาพในโรงเรียนเป็นโรงเรียนในฝันที่มีสังคมแสนดี 
 
ทุกวันนี้ ทุกวันข้าพเจ้าพยายามรักษาเวลา ตรงต่อเวลามากขึ้น และมีอคติต่อคนไทยที่ไม่รักษาเวลาให้ดี
ข้าพเจ้ามีระเบียบวินัยมากขึ้น
ข้าพเจ้าพยายามรู้จักทุกคนให้ลึกซึ้ง เรียนรู้ทุกประเภทของคน มากกว่าตอน ม ปลายเยอะ
ข้าพเจ้าพยายามทำหน้าที่ประสานงานกับคนในสังคมมากขึ้น
มีความเป็นผู้นำและผู้ตามมากขึ้น ตอน ม ปลาย เป็นผู้ตามอย่างเดียว แต่ก็คอยสนับสนุนคนทำดีมากที่สุด
 
 
แต่ต้องยอมรับว่าเพราะ ม ปลาย พื้นฐาน ความสามารถ สิ่งต่างๆที่ดีที่สะสมไว้ ความคิด การเรียนรู้ อุดมการณ์ จึงทำให้ข้าพเจ้ามีวันนี้ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน และสิ่งที่ข้าพเจ้าภูมิใจ
และข้าพเจ้ารำลึกถึงบุญคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ และทำให้ข้าพเจ้าได้เป็นถึงขนาดนี้ พ่อแม่ ญาติ ครูบาอาจารย์ พี่น้อง เพื่อนฝูง และอื่นๆ อีกมากมาย
 
 
สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป สำหรับสมัยนั้น และสมัยนี้ คือข้าพเจ้าคิดจะทำประโยชน์สูงสุดแก่สังคม
อุดมการณ์ข้าพเจ้าที่ไม่เคยเปลี่ยนที่จะมุ่งสายบริหาร
เน้นย้ำการพัฒนาทุกด้านระดับมหภาคของประเทศ ที่นักการเมืองไทยในประวัติศาสตร์ไม่เคยทำ และไม่เคยมีวิสัยทัศน์เพื่อพัฒนาชาติ มีแต่พัฒนาบัญชีธนาคาร และกอบโกยโกงกินเข้าตนเองและพวกพ้อง
 

"การศึกษา และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเป็นหัวรถจักรผลักดันประเทศ"

ประเทศเจริญ พัฒนา และยิ่งใหญ่ เพื่อ WELL BEING ของประชาชน
 
 
 
มัธยมปลายข้าพเจ้าอาจเถลไถลไปบ้าง ทุกข์บ้าง สุขบ้าง แต่มาย้อนนึกแล้วเป็นวันเวลาที่ข้าพเจ้าใช้ชีวิตสบายๆ มากที่สุดเลย
เที่ยวเล่น นอนเยอะๆ เล่นเกม เล่นคอม ทำอะไรได้มากมาย
 
และMWIT นี้ สร้าง Perfect Livingจริงๆ
โรงเรียนประจำที่ระเบียบวินัยเข้ม ข้อบังคับเยอะ นักเรียนต้องทำกิจกรรมมากมาย เป็นข้อบังคับว่าต้องไปดูงานกี่ชั่วโมง ฟังบรรยายกี่ชั่วโมง ด้านอะไรบ้าง สังคม วัฒนธรรม วิชาการ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
บังคับว่าต้องอ่านหนังสือนอกเวลาปีละกี่เล่ม
ต้องออกกำลังกาย ต้องเล่นกีฬาปีละกี่ชั่วโมง
ต้องเข้าชมรมเทอมละสองชมรม ด้านต่างๆ วิชาการ กีฬา ดนตรี ฯลฯ
ต้องเรียนรู้ภาษาที่สาม (ข้าพเจ้าพูดจีนได้ไม่กี่คำเอง)
ต้องออกค่ายพัฒนาชุมชนปีละกี่ค่าย ต้องออกค่ายจริยธรรม ต้องเข้าค่ายวิชาการต่างๆ
และข้อบังคับทางด้านกิจกรรมอีกมามาย ฯลฯ
 
แม้ว่าหลายๆคนจะด่า หาว่าโรงเรียนนี้บ้า เครียด
แต่ผลพิสูจน์ชัด จากการคัดเลือกนักศึกษาระดับแนวหน้า และได้ผลิตทรัพยากรบุคคลอันมีค่าสู่สังคม และเน้นย้ำการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ให้สร้างคนให้มีจิตใจนักวิทยาศาสตร์ และมุ่งพัฒนาสร้างประโยชน์ต่อสังคมต่อไป
 

ผลิตยอดมนุษย์

สร้างยอดคน
 
โรงเรียนนี้ ไม่ได้เป็นความภาคภูมิใจ และข้าพเจ้าไม่ได้บ้าคลั่งโรงเรียน
แต่การได้อยู่โรงเรียนนี้ ได้จบ ได้รับการปลูกฝังจากโรงเรียนนี้ คือความภาคภูมิใจมากที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต
 


 
กลับมากล่าวถึงเรื่องวัน D DAY ที่ผ่านมา ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่าร่างแถลงการณ์ความจริงนั้น ตอนนี้ได้มีทั้งฉบับเต็ม และฉบับ Censored
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ แพทย์XXXX
หากเผยแพร่สู่สาธารณชน จะเกิดเป็นภัยในวงกว้าง และเกิดผลเสียต่อภาพลักษณ์คนภาพดีหลายๆคน และมหาวิทยาลัยเอกชนบางแห่ง
 
เรียกง่ายๆว่า เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าพัฒนาการ BLACK MAIL ได้ถึงระดับผู้ใหญ่ [ที่คิดว่าตนยิ่งใหญ่] ทั้งหลาย แล้ว (ฮา)
 
แต่ก่อน ไม่ได้black mailใคร อย่างมาก ก็มีแต่เล่นสนุกกับเพื่อนๆ
 

 
สุดท้ายนี้ ต้องกล่าวถึงประเด็นปัญหาชีวิตช่วงนี้
 
ความสูญเสีย คนรัก เพื่อนสนิท คนที่เข้าใจกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ผูกพันกัน ลึกซึ้ง เวลานานมาก
คนพิเศษ คนเก่งที่มีความสามารถ มีคุณธรรม กล้าเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง
คนที่สามารถพูดคุยกันได้ถูกคอ และเข้าใจกันได้ทุกเรื่อง
อย่างน้อยโลกเราก็หาคนที่มีอุดมการณ์ วิสัยทัศน์ และสนใจเรื่องราวของสังคม สู้เพื่อสังคมที่ตนเองอยู่ ได้น้อยมากในสังคมปัจจุบัน
 
คงกล่าวได้เพียงเท่านี้ เพราะว่ามันจบแล้ว อย่างไม่สวยงาม เจ็บกับทุกสิ่งที่ไม่ได้พูดความจริงตั้งแต่แรกนั้น
 
มันช่างเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าทำใจลำบาก และทุกข์ เสียใจเป็นอย่างมากมาได้หลายวัน หลายอาทิตย์
 
สามวันจากนารีเป็นอื่น
สรุปได้ว่า นารีเป็นอื่นน่ะครับ มิใช่ คนที่จากไป เป็นอื่น

ข้าพเจ้าผิดอะไร ถามไปก็คงไม่มีประโยชน์พราะอะไร เพราะว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ส่วนใหญ่นั้น ใช้อารมณ์ ฮอร์โมน ความชอบ ความหลงไหล และสัญชาตญาณ และบอกว่าเป็นความรัก อยู่เหนือความมีเหตุผล
(เลยชอบอ้างไงล่ะว่า ไม่มีรักหรือไม่รัก มีแต่ใช่หรือไม่ใช่เท่านั้นล่ะ ใครว่าล่ะ จริงๆแล้วเหตุผลว่า "ดีเกินไป" "เราเข้ากันไม่ได้" "ดี แต่ไม่ใช่" ส่วนใหญ่จึงเป็นเพราะหมดรัก และมีรักใหม่ต่างหาก) เพื่อนๆที่ตาบอดอยู่ระวังไว้นะครับOpen-mouthed
 
ทำให้คิดถึงที่เขาบอกว่าความรักทำให้คนตาบอด แล้วนายต้องพงษ์บอกว่า ไม่ใช่หรอก ความรักไม่ได้ทำให้คนตาบอด แต่คนเรายอมปิดตาเพื่อความรัก (ซึ้งไหม บาดใจสาวๆ)
และผมก็คิดว่านั่นไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความหลงต่างหาก
 

หลายคิดบอกว่าข้าพเจ้าอกหัก ไม่ว่าจะหักหรือไม่หัก แต่ไม่ต้องห่วงว่าข้าพเจ้าจะคิดร้ายทำลายตัวเองครับ

 
ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ไม่ได้เป็นของเราเลย ไม่เป็นเจ้าของ และไม่ผูกมัดใดใดได้
ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่มีสิ่งใดเที่ยง
ข้าพเจ้าไม่เปรียบเทียบตนเองกับใคร และไม่ว่าใครจะดีกว่าข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในสิ่งที่ข้าพเจ้าพยายามทำดี
 
 
คุณแม่บอกว่า หาใหม่ลูก หาใหม่ลูก
เป็นประโยคสรุป
"แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยวัยรุ่นนั้น หลายเรื่องจะฝังใจ"
 
 
 
แต่ข้าพเจ้าสรุปว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี่ อาจไม่ใช่เรื่องแฟนนะครับ อย่าได้สรุปไปเอง
 
 
 
ช่วงนี้ข้าพเจ้าจึงได้ใช้เวลาทำอะไรที่มีสาระ และไร้สาระ
 
สาระ
เขียนหนังสือ
บันทึกเรื่องราวต่างๆ
จัดระเบียบชีวิต

และพบปะเพื่อนเก่า ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ทานข้าวด้วยกัน สนุกสนาน คิดถึงวันเก่าๆ พูดคุยเรื่องราวที่มีสาระ หลายๆอย่าง สัมมนาแลกเปลี่ยนความคิด สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม ทรัพยกร โลกร้อน
 
 

ไร้สาระ
อ่านการ์ตูน
เล่นเกม
นอนเป็นเวลามากกว่าสิบสองชั่วโมง หลายวัน
ดูหนังหลายเรื่อง ทั้งซื้อดีวีดีมาดู และไปรับชมที่โรงภาพยนตร์
 
 
ชีวิตที่ยังมีความสุขดีอยู่นี้ ขาดอะไรเสียบ้างจะเป็นอะไรไป เนอะ
 
(พูดทั้งน้ำตา ฮ่าๆ)