สงกรานต์ โลกร้อน คนร้อน
สงกรานต์ โลกร้อน คนร้อน
สงกรานต์มาถึงอีกคราหนึ่งนะครับ กับบรรยากาศบ้านเราที่ค่อนข้างจะร้อนมาก ถึงมากที่สุด
ในหลายปีหลังที่ผ่านมา กับการที่ ฯพณฯ อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ นักโนเบลสันติภาพโลก และ เหล่าบรรดานักรณรงค์ ได้ทำภารกิจเผยแพร่ความรู้ท้าทายมวลมนุษยชาติ กับคำว่า “โลกร้อน” ซึ่งบ้านเราก็เห็นกันชัดเจนมาก เพราะเมืองไทยมีสภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวนหนัก ฝนตก แดดออก ร้อนๆหนาวๆ จนหลายคนป่วยเป็นไข้ เสียสุขภาพกาย สุขภาพใจ
เรื่องโลกร้อน ล้วนเป็นเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบของคนทุกคนบนโลก เมื่อตระหนักรับรู้ถึงความรู้ข่าวสารความเป็นจริงแล้ว ว่า อุณหภูมิโลกกำลังสูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลายมาก เกิดมลพิษและสภาพอากาศแปรปรวนทั่วโลก จนอาจทำให้โลกล่มสลาย นี่จึงเป็นวิกฤตร่วมกันของทุกคน ทุกคนจึงควรจะพยายามช่วยแก้ปัญหาของโลกกันมากขึ้น เท่าที่จะทำได้ เช่นลดการใช้พลาสติก โฟม เกินความจำเป็น, ลดการใช้พลังงาน, หันมาใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ และเครื่องใช้รีไซเคิล ฯลฯ
เรียกได้ว่า เป็นภารกิจร่วมของคนทั้งโลก มิเช่นนั้น ต่อไปก็คงจะไม่มีโลกให้พวกเราได้อยู่กันอย่างเป็นสุขครับ
ช่วงสงกรานต์นี้ จัดเป็นวันครอบครัวแห่งชาติเช่นกัน ข้าพเจ้า ด้วยที่ผ่านมา แม้จะมีภารกิจการเรียนที่หนักหน่วงและการทำงานอยู่บนโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าตรู่ ยันค่ำมืด ดึกดื่น แต่ก็แอบจัดสรรเวลาไปเที่ยวกับครอบครัว และเครือญาติ ได้รับประทานอาหารร่วมกัน พูดคุยกัน และเดินทางไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ตามประเพณีดั้งเดิมของไทย ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นประเพณีที่ดีแท้ ส่งเสริมความรักความอบอุ่นในครอบครัว อันเป็นบ่อเกิดของพลังอันยิ่งใหญ่ที่จะต่อสู้ภัย อุปสรรคทั้งหลายในชีวิต
รู้สึกว่าเยาวชนและวัยรุ่นสมัยนี้หลายส่วน นอกจากจะมีปัญหาการศึกษาจนกลายเป็นปัญหาระดับชาติแล้ว ก็ยังมีปัญหาครอบครัวกันมากขึ้น ห่างไกลคุณพ่อคุณแม่ และครอบครัว
สงกรานต์นี้ หากบางคนที่คิดแต่จะเล่นเกมส์ เอาแต่เที่ยวกลางคืน ฉีดน้ำกัน หันกลับมามองถึงความหมาย และคุณค่าของช่วงวันสงกรานต์นี้บ้าง คงจะดีไม่น้อย
สงกรานต์นี้ เปิดโทรทัศน์ดู ข้าพเจ้าก็พบกับปัญหาที่เสียสุขภาพจิตยิ่งกว่าอากาศร้อน นั่นคือ พบกับการทะเลาะเบาะแว้ง และการประพฤติตนแบบไร้วุฒิภาวะ ของนักการเมืองบางท่าน วันสงกรานต์ วันครอบครัว ตนเองอายุได้เป็นคุณตาคุณปู่ของหลานๆทั่วประเทศแล้ว กลับออกมาสาปแช่ง ด่าว่าฝ่ายตรงข้าม สื่อมวลชน รวมถึงบุคคลต่างๆ ผู้ที่ขัดผลประโยชน์
การเมืองที่ร้อนระอุ กับนักการเมืองบางท่านที่ทำทุกเรื่องให้เป็นเรื่องการเมือง ทำเอาบรรยากาศสงกรานต์ปีนี้ ไม่น่าดูเสียเลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามองเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ด้วยสติ และปัญญาแล้ว ย่อมมีแสงสว่างในความมืด พึงมองตัวอย่างที่ดีจะทำให้เราเกิดความรู้สึกที่เป็นสุข วันสงกรานต์นี้ ข้าพเจ้าก็ยินดีและขอกราบร่วมบุญกุศล กราบสวัสดีปีใหม่ไทย และสงกรานต์ กับผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่เป็นแบบอย่างอันดีแก่สังคมด้วย อาทิเช่น ฯพณฯท่านประธานองคมนตรี ที่เป็นที่พึ่งใหญ่หนึ่งของประชาชนและประเทศไทยมาโดยตลอด รวมถึงที่ประชาชนชาวไทยระลึกเหนืออื่นใด คือพระบรมโพธิสมภาร ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงมีแก่พสกนิกรไทยมานานเกือบศตวรรษ พระผู้ทรงทำให้ประเทศไทยเราร่มเย็นเป็นสุข
การเมืองไทย กับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หลายคนเบื่อ หลายคนหงุดหงิด ทำให้เสียสุขภาพจิต ข้าวของแพง เศรษฐกิจตกต่ำ ยิ่งทำให้คนเครียด หากเปรียบเทียบกับภาวะโลกร้อนที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ปัญหาการเมืองเหล่านี้ก็เป็นปัญหาของพวกเราชาวไทยที่หนักหนาสาหัสเอาการ จัดเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของประชาชนชาวไทยทุกคน ที่ต้องร่วมมือกัน รวมตัวกัน กระจายข่าวสารความรู้ข้อเท็จจริง รักกันและช่วยสร้างสรรค์การเมืองไทยให้ดีขึ้นครับ
พวกเราสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการเมืองที่เป็นอยู่ได้จริง และเกิดผล ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็ล้วนเกิดจากประชาชนทั้งสิ้น เพราะพวกเราคือเจ้าของประเทศชาติที่แท้จริง ประชาชนต้องรวมพลังกัน และแสดงให้นักการเมืองเห็นว่า พวกเราไม่ใช่สัตว์หรือสิ่งของที่พวกนักการเมืองจะซื้อเสียงพวกเราไปได้ง่ายๆ แล้วอ้างตนเป็นเจ้าของเสียงพวกเรา กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายต่อไป เพราะนี่คือแผ่นดินใต้ฟ้าสีทองของในหลวงเรา
บทความสำหรับ สงกรานต์นี้ หวังว่าจะแฝงสาระ และเจตนารมณ์ของผู้เขียน ให้ผู้อ่านได้ฉุกคิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ และหวังว่าพวกเราจะได้ทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ เพื่อแผ่นดินเกิดของพวกเราด้วยกัน แผ่นดินที่บรรพบุรุษแลกเลือดเนื้อเพื่ออิสรภาพและ เอกราช ที่ต้องไม่ยอมให้ผู้ใดมาบ่อนทำลาย ไม่ว่าด้วยทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมถึงที่น่าเป็นห่วง คือถูกทำลายด้วยนักการเมืองถ่อยนี่เอง
ดับความร้อนสงกรานต์นี้ ดับด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว ไม่ได้แล้วกระมัง…
ความรักของข้าพเจ้า
ความรักของข้าพเจ้า
เวลาพูดถึงอาชีพหมอแล้ว คนมักมองกันว่า พวกหมอเป็นกลุ่มคนที่เคร่งเครียด จริงจังกับชีวิต ใส่แว่น อ่านหนังสือมาก เรียนหนัก วันๆไม่มีเวลาว่างทำอะไรสักเท่าไร
ข้าพเจ้าเป็นนักศึกษาแพทย์ ผู้ซึ่งต่อไปจะจบเป็นหมอ แม้คนจะว่ากันว่าข้าพเจ้าเป็นคนจริงจังกับชีวิตมากไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เหมือนกับที่เขาว่ากันสักเท่าไร
ตัวข้าพเจ้าทำกิจกรรมหลายอย่าง และเป็นนักกิจกรรมมากมายกว่าการเรียนเสียอีก แต่ก็ไม่ทำให้การเรียนเสียมากมายนะครับ รวมถึงมีเรื่องผ่อนคลาย และยังเล่นเกมคอมพิวเตอร์เยอะอีกต่างหาก
วันนี้จึงจะมาเขียนเรื่องอื่นที่ดูไม่เครียด วิชาการ หรือการเมืองเกินไป
วันนี้ไม่ได้มาเขียนเกี่ยวกับเรื่องกิจกรรม ความสามารถพิเศษของตนเองหรอกครับ แต่จะมาเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่ในโลกนี้
เรื่อง “ความรัก” นั่นเองครับ
และในฐานะที่เกี่ยวกับประสบการณ์ตรง จึงเป็นที่มาของชื่อเรื่องว่า “ความรักของข้าพเจ้า” นั่นเองครับ และเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเห็นหมอจะพูดกันเท่าไร ที่เห็นหมอพูดอยู่มากตามรายการทีวี มักเป็นเรื่องเพศสัมพันธ์กันเสียมากกว่า (ซึ่งไม่ใช่ความรักเสียทั้งหมด)
ข้าพเจ้าเอง เคยมีแฟนหลายคน ต่างกรรมต่างวาระ บ้างชอบพอกันไม่กี่เดือน บ้างชอบกันเป็นปี บ้างเป็นหลายปี แต่สุดท้าย ความสัมพันธ์มักสิ้นสุดลง เพราะถูกทิ้ง และกว่าครึ่งหนึ่งคงเป็นเพราะว่าห่างไกลกัน
ก็คงอย่างที่เขาว่า “รักแท้แพ้ใกล้ชิด” กระมังครับ
พอมาเรียนหมอนี้นั้น ตอนแรกก็ไม่ค่อยได้คิดเกี่ยวกับเรื่องความรักนี่สักเท่าไร (จริงๆแล้ว ตั้งแต่วัยละอ่อนมานั้น ก็ไม่เคยคิดหรอก มักจะมีแฟนโดยไม่ได้ตั้งใจ)
เห็นบรรดาอาจารย์หมอ หรือคุณหมอรุ่นใหญ่ทั้งหลาย มักจะมีแฟนเป็นหมอด้วยกัน หรือมีแฟนเป็นพยาบาล ส่วนตัวก็เลยคิดว่า ไว้เรียนจบค่อยว่ากันถึงอนาคตด้านความรัก ตอนนี้ความเรียนและการงานต้องมาก่อน
เขาว่ากันว่า “ความรักเปรียบเสมือนผีเสื้อ” ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งหาไม่เจอ แต่หากอยู่เฉยๆ แล้ว วันหนึ่งผีเสื้อก็จะเข้ามาเกาะเราเอง ก็เลยเพราะความไม่ตั้งใจนั้นแหละ ก็ได้ประสบพบอีก มีแฟนอีกคนหนึ่ง
น่าสงสารบรรดาเหยื่อผู้หลงผิดมาหาข้าพเจ้าจริงๆ (ฮา)
แต่สุดท้าย ครั้งล่าสุด คบกันเป็นปีๆ แต่ข้าพเจ้าก็ถูกทิ้งเช่นกันครับ
ข้าพเจ้าเศร้าไปเป็นครึ่งปี ช่วงแรกๆทรมานเหมือนตายทั้งเป็น เหมือนคู่ชีวิตเสียชีวิตไป ถึงขนาดนั้น
คุณแม่กลัวจะฆ่าตัวตายก็มาเยี่ยม พาอาจารย์นักจิตวิทยามาพูดคุย กลายเป็นภารกิจของทั้งครอบครัว และผู้ใกล้ชิด วุ่นวายกันข้ามประเทศ ต้องเดินทางกันมาจากทั่วสารทิศ ช่วยเหลือนายชเนษฎ์ ด้วยความรักนั่นเอง
คุณอาช่วยเหลือ อาจารย์ช่วยเหลือ น้องช่วยเหลือ เพื่อนสนิท เพื่อนแท้ ช่วยเหลือ ฯลฯ
หลังจากครึ่งปีที่เกือบจะเป็นบ้าไป สักพัก ข้าพเจ้าก็ตั้งสติได้
หันมามองตนเอง จึงรู้จักคำๆนี้มากขึ้น คำว่า “ความรัก”
ไม่กี่วันมานี้ เผอิญได้ไปเข้าค่ายจริยธรรมที่เมืองกาญจนบุรี ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น คิดอะไรมากขึ้น ก็ได้ค้นพบว่า
ข้าพเจ้ามีความรัก
ถ้าเรื่องผู้หญิงแล้วละก็ ข้าพเจ้ายังรักใครบางคนอยู่มากครับ แม้ว่าทุกวันนี้จะไม่ได้เป็นแฟนกัน
แต่ในจิตใจลึกๆแล้วก็พบว่า มันเกิดความรู้สึกที่ไม่เคยมีให้กับใคร แม้จะเลิกกันจะเป็นปีแล้ว ลึกๆก็ยังฝันถึงอยู่ คิดถึง
รำลึกถึงความงดงาม ความดี ที่มิใช่ความหลงเพียงรูปลักษณ์ภายนอก หากแต่เป็นการศึกษาเรียนรู้ เข้าใจกัน มีความคิด และการกระทำอันดี มีคุณค่าและประโยชน์ต่อสังคม
โอ นี่หรือคือ ความรัก
ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตจะคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืนฯ
(ขอกราบขอยืมท่านสุนทรภู่ มาจากนิราศภูเขาทอง ครับ)
ในกรณีที่ยกตัวอย่างมานี้ แม้จะเป็นรักข้างเดียว ที่ไม่มีวันบรรจบ หากแต่ความงามมิใช่วัดกันด้วยการบรรจบ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรามองเองต่างหากนะครับ
เพราะจริงๆแล้ว ตอนนี้ ความรักของข้าพเจ้าก็ยังงดงามอยู่ครับ
ข้าพเจ้ายังมีความรักที่สมหวัง
ความรักที่สมหวัง สำหรับข้าพเจ้า ก็คือ ครอบครัวของข้าพเจ้าที่อบอุ่น คุณพ่อคุณแม่ คุณย่า น้องๆ และญาติพี่น้อง ที่รัก เข้าใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่เสมอ
ความรักเอย คำที่ใช้กันพร่ำเพร่อบนโลกใบนี้
ในขณะที่คู่รัก หรือสามีภรรยา กลับเลิกกันไม่เว้นแต่ละวัน ครอบครัวแตกแยก ลูกขาดพ่อแม่ ขาดความอบอุ่น
ขณะที่วัยรุ่น นักศึกษาหลายคน คิดสั้นเพราะอกหัก บ้างกระโดดตึก บ้างยิงกัน บ้างทำร้ายกัน ทำร้ายตนเองจนลืมไปว่าทำให้คนที่รักเราจริงๆเสียใจ
ท่ามกลางความรักที่สิ้นคิดทั้งหลายนั้น หากหันกลับมามอง ยังมีความรักที่อยู่เหนือกว่านั้นอีกมากมาย ความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
ความรักของคุณพ่อคุณแม่ พี่น้อง ความรักของเพื่อนแท้ ที่อยู่กับเรายามยาก ยามทุกข์
เห็นไหมล่ะครับว่า ผีเสื้อได้มาเกาะที่ตัวเราอยู่มากมาย แต่เรามัวแต่หลงไหลในผีเสื้อตัวเดียว พยายามวิ่งไขว่คว้า จนลืมไปว่ามีคนอีกหลายๆคนที่รักเรา
ข้าพเจ้าซาบซึ้ง และขอขอบคุณทุกชีวิต ที่เคยเกื้อกูลข้าพเจ้ามาบนโลกใบนี้ นี่คือความรักที่หลายคนเคยมอบให้เราโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
สำหรับการเรียนที่เห็นได้ชัด คือ อาจารย์ผู้สอนที่เมตตากรุณาสอนสั่ง
สำหรับการทำงาน คือผู้ร่วมงานที่ดี ที่มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ต่อกัน
สำหรับการสังคม คือผู้คนที่ดีกับเรา เป็นต้น
หากได้อ่านบทความนี้แล้ว สำหรับหลายๆคนที่ทุกข์ใจกับเรื่องความรัก ลองเปลี่ยนวิธีคิดดูนะครับ ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีคนที่รักเราอยู่มาก ที่เราลืมมองไป
และจึงเข้ากับคำที่เขาว่า “จงรักคนที่เขารักเรา” รักครอบครัว รักพี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อนฝูง
ชีวิตก็เป็นสุขมากแล้วล่ะครับ ชีวิตหนึ่งที่มีความรัก
ทิ้งท้าย สิ่งที่ข้าพเจ้าสงสัยนิดเดียวเท่านั้น คือ ข้าพเจ้าแปลกใจมากกับผลการวิจัยที่เคยได้ยินมาว่า
กันง่ายๆว่า ผู้หญิงมีให้เลือกมากกว่าผู้ชาย ถึง แปดเท่า ผู้ชายน่าจะมีสิทธิ์และโอกาสมากกว่า
แต่ทำไม ข้าพเจ้าถึงยังอกหัก ถูกทิ้งโดยตลอดครับนี่ ฮ่า
ปล. อ่อ จริงๆแล้ว เดี๋ยวนี้นักศึกษาแพทย์มักเป็นเพศทางเลือกกันมากขึ้น แต่ในบทความนี้ อดีตแฟนของข้าพเจ้าก็ยังเป็นผู้หญิงนะครับ ฮา
โรงเรียนแพทย์เอกชน
โรงเรียนแพทย์เอกชน
มีประเด็นเป็นข่าววงการศึกษา เกี่ยวกับโรงเรียนแพทย์เอกชนแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ผ่านมา
นศ.แพทย์ม.รังสิตร้องแพทยสภา ตรวจสอบภาคพรีคลินิก– กรุงเทพธุรกิจ
ม.รังสิตพร้อมแจงแพทยสภายังมั่นใจ5ปีเป็นม.แพทย์ชั้นนำ– เดลินิวส์
ม.รังสิตรับลูกนศ. ฟื้นคุณภาพว.แพทย์ คาด5ปีติดท็อปไฟว์ –สยามรัฐ
ร้องแพทยสภาตรวจสอบภาคพรีคลินิกม.รังสิต– คมชัดลึก
บทความนี้ มิได้มีเจตนาจะกล่าวให้ร้าย หรือโจมตีผู้ใด หากแต่ถือเป็นโอกาสอันดียิ่ง ที่จะได้ชี้แจง และอธิบาย เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด ถือเป็นการประชาสัมพันธ์เพื่อชื่อเสียงอันดีงามอีกด้วย และชื่นชมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ถ้าพูดถึงโรงเรียนแพทย์แล้ว คนทั่วไปมักไม่ค่อยได้เข้ามาสัมผัสรู้ลึก คนส่วนใหญ่มักจะรู้จักชื่อเพียงโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆ โด่งดัง เช่น ศิริราชพยาบาล รามาธิบดี จุฬาลงกรณ์ วชิรพยาบาล ฯลฯ
ในความเป็นจริง ปัจจุบัน มีโรงเรียนแพทย์ในประเทศไทย รวมกัน มากถึง 16 สถาบันแล้ว และกำลังเพิ่มมากขึ้น
สำหรับแพทย์รังสิตนั้น ก่อตั้งสมัยคุณพ่อประสิทธิ์ อุไรรัตน์ ผู้เมตตากรุณา ได้มีความพยายามผลักดัน จนทบวงมหาวิทยาลัยอนุญาตให้เปิดดำเนินการสอนหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต ได้ในปีการศึกษา 2532
ตลอดระยะเวลาในยุคแรก มีการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความมีคุณภาพทัดเทียมแพทย์รัฐบาลจนแพทยสภาได้รับรองมาตรฐานหลักสูตรเมื่อปีพ.ศ. 2537 คุณพ่อประสิทธิ์มุ่งหวังสร้างสรรค์แพทย์เอกชน ให้เป็นแพทย์ที่ดี มีคุณภาพ โดยมิหวังผลกำไรเกินควร แพทย์รังสิตจึงค่อยๆเจริญงอกงาม ดุจต้นกล้า มีภาพลักษณ์ และชื่อเสียงอันดี
การบริหารงานของมหาวิทยาลัยรังสิต ต่อมาได้ตกอยู่ใต้การดูแลของดร.อาทิตย์ ท่านได้มีความพยายามในการระดมทุนเข้ามหาวิทยาลัยมากขึ้น โดยมีวิสัยทัศน์ขยายโอกาสทางการศึกษา เปิดคณะต่างๆเพิ่มขึ้น ทั้งมีความพยายามเพิ่มจำนวนการรับนักศึกษาคณะต่างๆ และนักศึกษาแพทย์เพิ่มขึ้นทุกปี เพิ่มค่าเรียน เพิ่มค่าลงทะเบียน
การเพิ่มขึ้นเชิงปริมาณทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่าง ปริมาณ กับคุณภาพการศึกษา และได้มีการถ่ายโอน การบริหารแพทย์รังสิต 3ชั้นปีแรก(ภาคปรีคลินิก) ให้คณะวิทยาศาสตร์ดูแล ภาคปรีคลินิกจึงขึ้นตรงกับทางผู้บริหารคณะวิทยาศาสตร์ และทางมหาวิทยาลัยรังสิต ส่วน 3ชั้นปีหลัง (ภาคคลินิก)ยังขึ้นตรงต่อคณบดีแพทย์ซึ่งปัจจุบันคือ ศ.(คลินิก)พญ.บุญเชียร ปานเสถียรกุล และคณาจารย์แพทย์ ผู้ซึ่งเป็นที่รัก คอยดูแลนักศึกษาแพทย์เป็นอย่างดีตลอดมา
แม้ว่าภาพลักษณ์และการประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยรังสิต อยู่ในขั้นเยี่ยมยอด
แต่สำหรับแพทย์เองนั้น มีปัญหาเกิดขึ้นอยู่บ้าง เป็นปัญหาภายใน 3ชั้นปีแรก(ภาคปรีคลินิก) ซึ่งรับผิดชอบดูแลโดยคณะวิทยาศาสตร์ และทางมหาวิทยาลัยรังสิต นักศึกษาแพทย์จำนวนมากรู้สึก ถึงความไม่ชอบธรรม ความขาดแคลน และขาดความเอาใจใส่ดูแลนักศึกษาแพทย์ จากผู้บริหารคณะวิทยาศาสตร์และรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ รวมถึงจากผลการสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทยสภา ขั้นที่1 (สอบหลังจบปรีคลินิก) ที่แพทย์รังสิตได้น้อย และต่ำสุดมาหลายปี ในขณะที่ขั้นที่2, 3 (สอบหลังเรียนภาคคลินิก) สอบได้คะแนนสูงติดอันดับประเทศ เป็นข้อสรุปว่า คณะวิทยาศาสตร์ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ทางด้านคุณภาพการเรียนการสอน ทั้งหลักสูตร และทรัพยากร อุปกรณ์ อาคาร บุคลากร ฯลฯ ที่ยังไม่เพียงพอและไม่ดีเท่าที่ควรตามเกณฑ์ขั้นต่ำแพทยสภา
รวมถึงในส่วนนักศึกษาแพทย์เองก็ยังมีหลายคนที่ไม่ตั้งใจ และไม่ขยันเรียนเท่าที่ควร
ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2549 จนถึงปัจจุบัน นักศึกษาแพทย์และแกนนำ มีการร้องเรียนอยู่ภายในมาโดยตลอด เป็นการเมืองภาคนักศึกษาแพทย์ มีหนังสือร้องเรียนจำนวนหลายฉบับ ชุมนุมเรียกร้องกันหลายครั้ง จนถึง เมื่อวันที่ 3สิงหาคม 2550 มีการชุมนุมใหญ่กว่า300คน (ดังภาพ) การพบปะผู้บริหารหลายระดับ
การร้องเรียนถึงปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องหลักสูตร ทรัพยากร อุปกรณ์การสอน ฯลฯ กันมาอย่างต่อเนื่อง เพียงเพื่อต้องการสิทธิประโยชน์ขั้นต่ำที่พวกเขาควรจะได้รับ และเพื่อคุณภาพที่แท้จริง เหตุการณ์ดำเนินเรื่อยมาจนถึงกรณีนักศึกษาแพทย์ยื่นหนังสือร้องเรียนแพทยสภา แม้ว่าในท้ายสุด ท่านรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ได้ขอระงับนักศึกษาแพทย์ให้ถอนหนังสือดังกล่าวก็ตาม
เรื่องราวทั้งหมดนี้ นับจารึกไว้เป็นบันทึกประวัติศาสตร์แพทย์รังสิต แม้ว่าจะคล้ายกับมีการต่อสู้ ถกเถียง ทะเลาะกันบ้างระหว่างนักศึกษาแพทย์ กับทางผู้ใหญ่ ผู้บริหารระดับต่างๆ มีความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่ทั้งหมดก็เพื่อหาทางออกร่วมกันในการพัฒนาคุณภาพและสร้างสรรค์สิ่งดี ผลิตแพทย์คุณภาพสร้างสรรค์สังคม และประเทศชาติต่อไปในอนาคต
คาดหวังว่า ท่านอธิการบดีผู้เมตตากรุณา และผู้บริหารคณะวิทยาศาสตร์ เริ่มได้ให้ความใส่ใจกับนักศึกษาแพทย์มากขึ้น และเริ่มสนับสนุน ส่งเสริม วิทยาลัยแพทยศาสตร์ เพื่อที่มีมาตรฐานภาคปรีคลินิกก้าวทัดเทียมแพทย์รัฐบาลในระยะเวลาที่เหมาะสม และเพื่อชื่อเสียงของวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ที่สมัยคุณพ่อประสิทธิ์ ได้สร้างสรรค์ ด้วยความเมตตากรุณาแก่พวกเราเสมอมา รวมถึงเพื่อชื่อเสียงและคุณภาพ ของคณะวิทยาศาสตร์ และมหาวิทยาลัยรังสิตเองทั้งสิ้น
จะเป็นไปดั่งความมั่นใจของทางมหาวิทยาลัยที่ได้ยืนยันกับหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ดังพาดหัวข่าวว่า
“ม.รังสิตรับลูกนศ. ฟื้นคุณภาพว.แพทย์ คาด5ปีติดท็อปไฟว์”
|
แจ้งเบาะแสเว็บไซต์หมิ่นกษัตริย์
ขอยินดีต้อนรับ ฯพณฯ ทรราชย์ กลับประเทศ
(รัฐบาลสมัคร ย้ายแหลก รวมถึงย้ายอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อเตรียมรับแม้ว จนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เขาออกมาโวยนั่นไง)
พระสยามฯ
พระสยามฯ
คุณย่าสุดที่รักของข้าพเจ้า ในวัย ๗๘ปี ยังแข็งแรงดีเมื่อเทียบกับคนชราในวัยเดียวกัน
ท่านเป็นคนชราที่ทันสมัย เป็นผู้ฝักใฝ่ทั้งในทางโลกและทางธรรม ท่านชอบติดตามข่าวสาร ทั้งด้านการเมือง ด้านสังคม ด้านบันเทิง(ยังรู้จักดาราวัยรุ่นอยู่มาก) ท่านได้ติดตามข่าวสารผ่านทั้งทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในคนชราจำนวนมากที่ยังทันยุคทันสมัย หากใครได้มีโอกาสพูดคุยถามไถ่เรื่องการเมืองตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ หรือเรื่องประวัติศาสตร์ต่างๆ ท่านก็สามารถสนทนาพูดคุยได้อย่างสนุกสนาน และเป็นผู้มีประสบการณ์ เป็นที่น่าประทับใจของเพื่อนๆข้าพเจ้าที่ได้มีโอกาสมาพูดคุยกับท่าน ครั้นมาเที่ยวบ้านเสมอ
แต่หากจะว่าไปแล้ว คงมีเพียงอินเตอร์เน็ทเท่านั้น ที่คุณย่าท่านตกยุคและไม่สามารถเข้าถึงได้ เพราะฉะนั้นท่านก็คงไม่เห็นบทความนี้ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้แอบเล่าเรื่องคุณย่าดังที่กล่าวมาข้างต้น
ช่วงนี้ ท่านได้อุทานอยู่บ่อยครั้งว่า
“เหตุใด พระสยามฯ (องค์พระสยามเทวาธิราช) จึงไม่ช่วยบ้านเมืองเราเลยหนอ?”
ข้าพเจ้าจึงกล่าวทำนองทะเล้น สนุกสนานว่า “เกรงว่าพระองค์ท่านกำลังไปเที่ยวอยู่”
คงไม่ต้องอธิบายรายละเอียดนะครับ ว่าคุณย่าของข้าพเจ้านั้น เป็นกังวล ห่วง ถึงเรื่องใด?
สำหรับนักเรียน นักศึกษา วัยรุ่น เยาวชนรุ่นใหม่นั้น คงเคยได้ยินคำ “พระสยามเทวาธิราช” มากันมาก แต่น้อยคนนักที่จะเข้าใจและศึกษาประวัติศาสตร์ ถึงที่มาของพระสยามฯนี้
ความเป็นมาของ “พระสยามเทวาธิราช” นี้ เริ่มขึ้น ในสมัยก่อนครับ ช่วงต้นศตวรรษที่ ๑๙ ของชาวตะวันตก เป็นช่วงล่าอาณานิคม พวกฝรั่งตาน้ำข้าวได้รุกรานประเทศในเอเชียอาคเนย์จำนวนมาก ครอบครองประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของเราทั้งสิ้น สำหรับประเทศไทยเราเองนั้น ก็เผชิญมรสุมการแทรกแซงจากตะวักตกอย่างมาก มีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำคัญที่เสี่ยงเกือบจะเสียเอกราชหลายครั้ง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของกษัตริย์ไทยหลายพระองค์ในอดีต ก็สามารถพ้นภัยมาได้ ทำให้พวกเราลูกหลานไทยมีเอกราชมาจนถึงทุกวันนี้
จวบจนมาถึง ในสมัยพระมหากษัตริย์ของไทย รัชกาลที่๔ ครับ คือ องค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงมีพระราชดำริว่าเมืองไทยเรานี้มีเหตุการณ์หวิดๆจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายต่อหลายครั้งแล้วแต่เผอิญให้มีเหตุรอดพ้นได้เสมอมาชะรอยจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งที่คอยพิทักษ์รักษาอยู่จึงสมควรจะทำรูปเทพพระองค์นั้นขึ้นไว้สักการะบูชาแล้วโปรดให้พระองค์เจ้าดิษฐวรการ (หม่อมเจ้ารัชกาลที่๑) นายช่างเอกทรงปั้นรูปเทพพระองค์นั้นเป็นรูปทรงต้นยืนถือพระขรรค์ในพระหัตถ์ขวาขนาด๘นิ้วฟุต งดงามได้สัดส่วนแล้วหล่อด้วยทองคำแท่งทั้งพระองค์ทรงถวายพระนาม“พระสยามเทวาธิราช“แล้วประดิษฐานไว้ในพระวิมานกลางพระที่นั่งไพศาลทักษิณจนทุกวันนี้ในสมัยรัชกาลที่๔พระองค์ท่านทรงถวายเครื่องสังเวยเป็นราชสักการะทุกวันและเป็นที่นับถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
กลับมาพูดถึงเรื่องที่คุณย่าท่านเป็นห่วง ข้าพเจ้าได้พูดคุยเรื่องการเมืองกับคุณย่าอยู่บ่อยครั้งครับ คุณย่าท่านแสดงความเห็นว่า การเมืองสมัยนี้เป็นยุคสมัยที่แย่มาก แย่กว่าสมัยคุณย่ายังเด็ก ในสมัยก่อนนั้น การเมืองแม้จะมีการเข่นฆ่ากัน แต่ก็ไม่ได้ทุจริตคอรัปชันขนาดนี้ และนักการเมืองสมัยก่อนนั้นยังมี คุณธรรม ศีลธรรม มากกว่าในสมัยนี้ ที่เห็นแก่เงินมากเกินไป รวมถึงคุณย่ายังเสียใจที่มีประชาชนจำนวนมากยังขาดความรู้
สอดคล้องกับอาจารย์หมอที่ข้าพเจ้าเคารพรักหลายท่าน ก็พนันกับข้าพเจ้าเลยว่า แนวโน้มประเทศไทย จะเลวลง เลวลง ในยุคหลังจากนี้ ที่นักการเมืองไร้สิ้นคุณธรรมกันหมดแล้ว
อาจารย์ชัยอนันต์สมุทวณิช กับบทความ “อนาคตที่น่าเป็นห่วงของประเทศไทย” ๒๐มค๕๑ ท่านกล่าวว่า เวลาผ่านไปนาน ๓๐ปี ทำให้ท่านนึกถึง “การเมืองไทยที่ไม่ก้าวหน้าไปถึงไหนเลย”
ที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นตัวอย่าง แสดงให้เห็นว่าผู้เฒ่าผู้ชราในสังคมของเราหลายคนก็รู้สึกคล้ายๆกัน
หากท่านปรีดี พนมยงค์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านคงเสียใจอยู่ไม่มากก็น้อยสำหรับยุคนี้ ว่าผลผลิตจากความคิดอันดี และการริเริ่มอันยิ่งใหญ่ของท่าน ที่หวังจะเห็นประชาธิปไตยในอนาคตอันงดงาม ในตอนนี้ยังอยู่ท่ามกลางปัญหาสาหัส
โดยเฉพาะด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ความรู้ของประชาชนในระดับรากหญ้า ที่ถูกแทรกแซงจากระบอบอุปถัมภ์ พรรคพวก ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น และเงินทุนจากนายทุน นักการเมืองใหญ่ ที่ใช้ซื้อเสียง ทุจริตการเลือกตั้ง วิถีชีวิตของชาวบ้านผู้ยากไร้ และชนชั้นล่าง ที่วันวันหนึ่งทำแต่งานหนัก หาเช้ากินค่ำ ก็ไม่รู้หรอกว่าใครดีไม่ดี เพียงแต่ว่าใครที่ให้เงิน ใครที่ลูกพี่หรือผู้มีอิทธิพลในชุมชนสนับสนุน ก็ไปช่วยเลือกคนนั้น รวมถึงชนชั้นกลางและชั้นสูง มีน้อยคนที่จะลงไปสัมผัส เข้าใจวิถีชีวิตของชนชั้นรากหญ้าจริงๆ
นับวัน ช่องว่างระหว่างชนชั้นจะยิ่งมากขึ้นๆ นี่หรือคือระบอบประชาธิปไตย ที่ทุกคนมีเสียงเท่ากันหนึ่งเสียง
สำหรับข้าพเจ้าเองนั้น เห็นว่าประชาธิปไตยจากผู้คนที่หิวโหย จะเรียกว่าประชาธิปไตยไม่ได้ครับ
ด้วยปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นมานี้ จะว่าไปไม่รู้เวรกรรมของประเทศชาติอย่างไรนะครับ กฎหมายที่มีไว้แต่ไม่ศักดิ์สิทธิ์ เข้มแข็ง ข้าราชการและระบบรัฐที่ยังขึ้นอยู่กับอิทธิพลอำนาจนักการเมือง ระบบตรวจสอบ องค์กรอิสระที่ยังถูกแทรกแซงตลอด หรือแม้แต่ศาลสถิตยุติธรรมถูกวิจารณ์ว่าศาลซื้อได้ และถูกกล่าวหาว่าเป็นวิกฤตการณ์ตุลาการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๙ จนในหลวงทรงมีพระราชดำรัสถึงศาลหลายต่อหลายวาระด้วยกัน
เพราะฉะนั้นแล้ว วิกฤตการณ์การเมืองจนถึงปัจจุบันนี้ ทำให้คุณย่าท่านและหลายๆคน ระลึกถึงพระสยามฯ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าหากทุกฝ่ายสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ เลือดเนื้อของบรรพบุรุษที่หลั่งไหล เพื่อให้ไทยมีเอกราชจนถึงทุกวันนี้แล้ว ก็หวังว่าทุกฝ่ายจะทำหน้าที่ของตนให้เต็มที่อย่างซื่อตรง และเลือกข้างคุณธรรม ข้างฝ่ายดี เพื่อสกัดความชั่วร้ายไม่ให้มีอำนาจทำลายชาติ แทรกแซงสถาบันต่างๆ อย่างที่เป็นมา และต้องเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจ พยายามให้ประชาชนฉลาดขึ้นให้มาก ให้พวกเขาเหล่านั้นเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ไม่ปิดกั้นประชาชนอย่างที่นักการเมืองในอดีตทำเพราะหวังให้ประชาชนฉลาดน้อย หลอกใช้ได้ง่าย รวมถึงกระบวนการทางกฎหมายต้องใช้ได้จริง ศักดิ์สิทธิ์
หากทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระสยามเทวาธิราช พระองค์ท่านย่อมไม่ดูดาย และความดีที่ทุกคนร่วมกันทำ จะบังเกิดผลยิ่งใหญ่ ประโยชน์แผ่ไพศาลแก่พวกเราทุกคน ลูกหลาน และสยามประเทศ สืบนานเท่านาน
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลเพื่อการศึกษา :
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3552688/K3552688.html
http://forum.serithai.net/index.php?topic=13788.msg183190
http://th.wikipedia.org/wiki/พระสยามเทวาธิราช
ความสูญเสียของแผ่นดิน
ความสูญเสียของแผ่นดิน
ชเนษฎ์ ศรีสุโข(chanesd@gmail.com)
หยดน้ำตาหลั่งไหลเป็นสายธาร สะอื้นร่ำไห้ ข้าพเจ้าหลบหน้าคุณย่า และคุณแม่ เพื่อมิให้สังเกตได้เข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า และเอาพัดลมเป่า กลบเกลื่อนรอยน้ำตา
การร้องไห้เป็นการแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกของคนเรา บ้างเสียใจ บ้างเจ็บปวด บ้างดีใจ บ้างซาบซึ้งยินดี แตกต่างอารมณ์ แต่ก็มีน้ำตาไหลออกมาเหมือนๆกัน นักวิทยาศาสตร์บางท่านยังว่า การร้องไห้เป็นการระบายสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย
แม้ว่าข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าร่ำไห้เพราะเหตุผลอันใด? อกหัก ถูกทิ้งเมื่อครึ่งปีที่แล้ว? เรียนหมอความกดดันหนัก? เพื่อนๆบางคนไม่รัก? มีความเครียดในชีวิต? เหงา เดียวดาย? อาจารย์ที่รักป่วยหนัก?
เหตุผลนานาทำให้คนเราร้องไห้…
ช่วงนี้คนไทยร้องไห้กันมาก ส่วนหนึ่งจากปัญหาการเมืองที่ค่อนข้างปวดหัว และว่ากันว่ามองเห็นแสงสว่างของประเทศชาติ ทางออกในการแก้วิกฤตการณ์เหล่านี้ริบหรี่ลงเรื่อยๆ
แต่ที่เป็นทุกข์สลดโศกสุด น้ำตาปวงประชาราษฎร์รินไหล ก็คงเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งของสยามประเทศ และของโลก มวลมนุษยชาติ นั่นคือ ความอาลัย ที่มีต่อการจากไปของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ข้าพเจ้าเองแม้จะยังมีอายุน้อย แต่ได้ถวายสักการะเคารพเสมอมา ด้วยรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ที่พระองค์ท่านทรงโปรดแก่ประชาราษฎร์ในทั่วทุกระแหง ทุกหย่อมหญ้า โดยตลอดมา และเชื่อว่ามีประชาชนจำนวนมหาศาลที่รำลึกถึงพระองค์ท่านเป็นอย่างยิ่งในตลอดชีวิตของพวกเขา
หากจะกล่าวกัน ถึงพระกรณียกิจของพระองค์ท่าน หลายๆคนย่อมนึกถึงโครงการหลากหลายมากมาย สมเด็จพระพี่นางฯ ได้ทรงทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมากมายแก่ประเทศชาติเพื่อแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีโดยทรงมีโครงการในพระอุปถัมภ์มากมายหลายร้อยโครงการอาทิเช่นโครงการแพทย์อาสาฯ(พอ.สว.) และมูลนิธิขาเทียมฯ รวมถึงการสนับสนุนในโครงการต่างๆของรัฐ ที่ดี อาทิ ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์และเงินกองทุนสมเด็จย่าเพื่อช่วยเหลือและทรงสนพระทัยโครงการจัดส่งเยาวชนไทยไปร่วมแข่งขันโอลิมปิกวิชาการตั้งแต่ปี๒๕๓๒เป็นต้นมาด้วยทรงตระหนักว่าเยาวชนที่มีสติปัญญาเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ
พระดำริของท่านดั่งเช่นนักพัฒนาที่มองการณ์ยาวไกล
ในสายวิชาชีพที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่นั้น คือแพทย์ หากจะกล่าวถึงโครงการที่ชัดเจนที่สุดที่ทุกคนย่อมนึกถึง เป็นโครงการที่สมเด็จพระพี่นางฯทรงสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จย่า นั่นคือ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ซึ่งสมเด็จย่าฯทรงก่อตั้งไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๒ โดยแรกเริ่ม ทรงพบว่าราษฎรจำนวนมากเมื่อเจ็บป่วยไม่มีโอกาสได้รับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยแพทย์เคลื่อนที่โดยเสด็จฯเสมอมา เข้าถึงในท้องถิ่นต่างจังหวัด และถิ่นทุรกันดาร และในกาลต่อมาหลังสมเด็จย่าสวรรคต สมเด็จพระพี่นางฯทรงดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์สืบมา
หากกล่าวถึงผู้ที่ได้รับพระมหากรุณาอย่างเด่นชัด ก็คงต้องถามจากเจ้าหน้าที่รัฐ และราษฎรในที่ทุรกันดาร ที่พร้อมใจกัน เรียกมูลนิธินี้กันว่า “แพทย์ทางอากาศ” หรือ “แพทย์ทางวิทยุ” อันเนื่องจากมีการใช้ระบบการสื่อสารทางวิทยุรับ-ส่ง ให้คำปรึกษา และรักษาผู้ป่วย
ราษฎรนอกจากจะได้รับประโยชน์คณานับแล้ว ยังเปี่ยมล้นด้วยจิตกุศล ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ผู้ป่วยจำนวนมากที่ทุพพลภาพ หรือคุณภาพชีวิตมีปัญหาอย่างมากมาก่อน เมื่อได้รับการหยิบยื่นความช่วยเหลือทางการแพทย์แล้ว สามารถกลับมาดำเนินชีวิตตามปรกติชน และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ เหล่านี้เปรียบเสมือนได้ชีวิตใหม่ หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่เป็นมาตลอดชีวิตของพวกเขา
อาสาสมัครในมูลนิธินี้ก็มีจำนวนมากขึ้นทุกวัน และต่างได้ทำทาน ร่วมมือประสานกัน ได้ช่วยเหลือประชาชนภายใต้พระราชดำริของพระองค์ บังเกิดความสุขเป็นล้นพ้นของราษฎร เป็นการสร้างบุญสร้างกุศลที่หาใดเปรียบ
นอกจากเรื่องที่ได้กล่าวแล้วนั้น โดยทั่วไป ประชาชนที่ติดตามข่าวในพระราชสำนักฯ สมเด็จพระพี่นางฯทรงเป็นแบบอย่างของลูกที่ดีที่ทรงตามเสด็จสมเด็จย่าฯไปทุกที่ โดยมีพระจริยวัตรอันงดงาม และหากประชาชนศึกษาพระราชประวัติของพระองค์มากขึ้นแล้ว พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ และพระอัจฉริยภาพในหลายด้าน และได้ใช้พระปรีชาสามารถเหล่านั้น ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สังคมและแผ่นดินแห่งนี้ ทำให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนที่รักของพระองค์ และประชาชนเกิดความรักกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ อันจะนำไปสู่สังคมอันสงบสุขที่ทุกคนร่วมฝันใฝ่
ตลอด๘๔พรรษาที่ผ่านมาสมเด็จพระเจ้าพี่นางฯทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจมากมายอันพึงเป็นเนื้อนาบุญอันไพ บำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนคนไทย และแผ่นดินไทย ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีให้คนยึดมั่น และสิ่งที่พระองค์ทรง มิเคยทรงย่อท้อพระองค์จะทรงเป็น“พระพี่นางฯ” ที่จะดำรงอยู่แม้พระวรกายลาลับ ดำรงอยู่ในหัวใจและจิตวิญญาณ ของคนไทยต่อไปตราบชั่วกัปป์กัลป์
สุดท้ายนี้ขอยกบทประพันธ์ของคุณป้าอี๊ดที่เคารพรัก – นางชมัยภร แสงกระจ่าง นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
ลมแห่งโศกโบกหล้า ประชาไทย สมเด็จพระพี่นางฯไกล ลับแล้ว
น้ำตาราษฎร์ร่วงรินไหล อาลัยสุด ขอเสด็จเสวยสวรรค์แผ้ว ภพโพ้นสวรรยา
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะฯ
กราบสวัสดีปีใหม่ 2551 ภาคแก้ไขเพิ่มเติม
กราบสวัสดีปีใหม่ 2551 ภาคแก้ไขเพิ่มเติม
แก้ไขเพิ่มเติม โดย พ.ญ.ชัญวลี ศรีสุโข
โลกใบกลม หมุนวน จนบรรจบ
หนึ่งปีครบ ชื่นแช่ม จิตแจ่มใส
ตั้งสติ ตรึกตรอง กรองเหตุไป
ถึงปีใหม่ ลาปีเก่า เอ้า…ไวจริง
จุดประทัด พุ่งพลุ ปุปะปั้ง
การเมืองตั้งแต่ปฏิวัติ รัฐบาลขิง
เลือกตั้งใหม่ ก็ยังเน่า เศร้าใจลิง
ได้สาดหมัก อนาถยิ่ง ผู้นำไทย
ประชาชน ตามไม่ทัน วันยังค่ำ
มันซับซ้อน ซ่อนเงื่อนงำ เข้ายำใหญ่
นักการเมืองดีแต่พูดตูดจัญไร
ทะเลาะกันไม่ทันไรก็ดีกัน
การเมืองเป็นเรื่องแบ่งผลประโยชน์
เป็นเรื่องโฉดแย่งพุงปลามาห้ำหั่น
ด่าแล้วกลืนน้ำลายไปวันๆ
ขายตัวกันเร่ไปมาเพื่อหาทุน
การเมืองจะดีอย่างไรให้มานึก
ทบทวนตรึกตรองคิด จิตเนื่องหนุน
ต้องพอเพียง โปร่งใส ใจการุณย์
เป็นการเมืองเปี่ยมบุญหนุนนำไทย
ประชาชนต้องไล่ตามให้ทัน
ข่าวสารนั้นต้องตามติดให้ชิดใกล้
อย่ามัวแต่สนุกสนานเบิกบานใจ
ใครตบใคร ในทีวี มีเฮฮา
ให้อดทน และเชื่อมั่น ว่าวันหนึ่ง
ย่อมมาถึง วันที่ มีคุณค่า
วันที่ธรรมะได้ยาตรา
ธรรมนำพา พ้นภัยทราม ด้วยความดี
ฟ้องหมอ + ราตรีศรีตรัง ครั้งที่4
โดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข chanwaleesrisukho@hotmail.com
ต้นเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่ จ.ปทุมธานี ญาติคนไข้ไม่พอใจการรักษาญาติที่ป่วยด้วยโรคชรา ได้ต่อว่าหมอว่า อาการคนไข้ไม่ดีขึ้นเลย สถานที่ก็แออัด ร้อนอบอ้าว หมอหญิงไม่ต่อล้อต่อเถียง ได้เดินหนี ญาติจึงเดินเข้ามากระชากคอเสื้อหมอ บีบคอ และตบซ้ำ (สำนักข่าวที-นิวส์)
ต้นเดือนธันวาคม 2550 ศาลทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช พิพากษาจำคุกแพทย์หญิงโรงพยาบาลร่อนพิบูลย์ หลังฉีดยาชาให้คนไข้เพื่อผ่าตัดไส้ติ่ง ศาลพิพากษาว่าแพทย์หญิงผิดจริงเพราะกระทำการโดยประมาท ตัดสินจำคุก 3 ปี (หนังสือพิมพ์ข่าวสด)
การถูกทำร้ายร่างกาย และการถูกตัดสินจำคุกเป็นการถูกสังคมลงโทษอย่างรุนแรง ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ ทั้งๆ ที่ไม่มีแพทย์คนไหนจงใจอยากให้คนไข้ไม่สุขสบาย ไม่หายจากโรคหรือเสียชีวิต จากปัญหา หรือความผิดพลาดต่างๆ
แพทย์ไม่ใช้สัพพัญญู การแพทย์ไม่ใช่สิ่งมหัศจรรย์ที่อยู่นอกเหนือกฎแห่งธรรมชาติ แม้ป้องกันเต็มที่ เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ก็อาจเกิดขึ้นและไม่เฉพาะการแพทย์ของเมืองไทย แต่เป็นการแพทย์ทั่วโลก
การรักษาคนไข้ไม่หาย การรักษาคนไข้ไม่เป็นไปดังความต้องการของคนไข้และญาติ การรักษาคนไข้แล้วคนไข้และญาติไม่พึงพอใจ การรักษาแล้วคนไข้ตาย ไม่ได้หมายความว่าแพทย์เป็นคนเลว คนทำผิดเสมอไป น้อยรายที่เกิดจากแพทย์มีสันดานชั่ว ละโมบ ไม่ระมัดระวัง ประมาท ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นปัญหาของระบบ ที่เอื้อให้เกิดปัญหาตามมาด้วยการลงโทษแพทย์ ยกตัวอย่างเช่น
นโยบายการเมือง ตั้งแต่ 30 บาทรักษาทุกโรค จนถึงรักษาฟรีทุกโรค ส่งผลให้จำนวนคนไข้เพิ่มมากขึ้น จนไม่เหมาะสมกับจำนวนผู้ให้บริการ การทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ส่งผลให้เกิดปัญหาและความผิดพลาดเพิ่มขึ้น
ความล้มเหลวของนโยบายกระทรวงสาธารณสุขในด้าการผลิตและการกระจายกำลังทำให้ขาดแคลนแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้าในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ผู้ที่ออกปฏิบัติงานในชนบท ส่วนใหญ่เป็นผู้น้อย ด้อยทั้งความรู้และประสบการณ์
ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ส่งผลให้งบประมาณทางด้านสาธารณสุขมีน้อย งบในการจัดซื้อเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยไม่เพียงพอ โรงพยาบาลหลายแห่ง อย่าว่าแต่งบประมาณปรับปรุงสถานที่เลย แม้แต่อุปกรณ์สำคัญในการช่วยรักษาชีวิตคนไข้ที่มีราคาแพง ก็ยังไม่อาจจัดหามาได้
ปัญหาการจัดสรรงบประมาณทางสาธารณสุข ตามรายหัวของประชาชนลงสู่โรงพยาบาลระดับต่างๆ ที่ยังไม่เป็นธรรม ทำให้หลายโรงพยาบาลต้องรัดเข็มขัด เพื่อความอยู่รอด
ปัญหาขาดแคลนแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในระบบราชการ เนื่องจากมีแรงจูงใจและความกดดันทำให้แพทย์ลาออกจากราชการ ทำให้โรงพยาบาลรัฐหลายแห่งขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ปัจจุบันยังไม่มีการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง แต่แก้โดยการผลิตแพทย์เพิ่ม ซึ่งเกิดคำถามว่า ปริมาณที่เพิ่มนั้นมาพร้อมกับคุณภาพหรือไม่
ความไม่เท่าเทียมกันของความเจริญระหว่างเมืองกับชนบทและการขาดสวัสดิการที่จำเป็นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แพทย์ในชนบทขาดแคลน อย่าว่าแต่แพทย์เลย คนทั่วไปถ้าเป็นไปได้ก็อยากเลือกอยู่ในเมืองที่มีความเจริญ มีการศึกษาที่ดีให้ลูกหลาน
ปัญหาค่านิยมของสังคมที่เปลี่ยนไป อาชีพแพทย์ไม่ได้เป็นอาชีพที่มีเกียรติ ฝากผีฝากไข้เชื่อถือได้ เท่าสมัยก่อน มีตัวอย่างของการฟ้องร้อ
What is mednight? MEDNIGHT2007 is great!!!
เข็มสัมพันธ์ครั้งที่ 21- ความประทับใจที่ไม่รู้ลืม ความร้อนระอุ และยุงโหดร้ายชุกชุม
อันนี้คือ Mascot ของงานกีฬาเข็มสัมพันธ์ปีนี้ NagaDoc (มาจาก Naga(พญานาค)+Doc(Doctor))
และเจ้าภาพหัวใส ทำเป็นตุ๊กตาที่ระลึกขายตัวละ 250B ขายหมดเกลี้ยง
จดหมายถึงนางฟ้า
บันทึกงานเปิดรั้วโรงเรียนแพทย์ ครั้งที่5
งานเปิดรั้วโรงเรียนแพทย์ครั้งนี้ จัดขึ้นที่ โรงพยาบาลราชวิถี อาคารเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา ชั้น11-12 (อาคารจอดรถ) เช่นเดียวกับปีที่แล้ว เนื่องด้วยด้วยความพร้อมของสถานที่ และความสะดวกสำหรับผู้เยี่ยมชม
จัดโดย สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย (สพท) โดยมีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมกว่า 1,700 คน
ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมและทำงานด้านการเตรียมการฝ่ายสถานที่
รวมถึงได้รับฟังคำบรรยายจากวิทยากรผู้มากประสบการณ์ และบังเกิดความประทับใจมากกับการตอบคำถามรวมถึงการบรรยายของวิทยากร
ที่ประทับใจที่สุด คือ ศ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ ประธานราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย คนปัจจุบัน
ทำให้ข้าพเจ้าย้อนตอบคำถามตัวเองหลายๆอย่าง ถึงเป้าหมายชีวิตของตนเอง และการมาเรียนหมอ
แม้จะได้ไม่ได้ชอบและอยากเรียนที่สุด แต่ข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่าสามารถเรียนแพทย์และสามารถจบแพทย์ได้
รวมถึงหลังจบแพทย์ ทั้งการเรียนแพทย์ และการทำงานเป็นแพทย์ จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ความเหน็ดเหนื่อยยาก ลำบาก เผาผลาญพลังงานชีวิต มากมายเช่นไร
เป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสด้วยตนเองจึงจะทราบความเป็นจริง
ตอนนี้ เรียนรู้จากคนใกล้ตัว และบุคคลในวิชาชีพแพทย์มากมาย เป็นการเตรียมตัว เตรียมใจ เพื่อจะพบกับชีวิตของความเป็นหมอ
งานนี้เป็นการตอบคำถามแก่น้องๆที่ยังไม่ทราบความเป็นจริง และน้องๆที่สนใจจะเรียนวิชาชีพแพทย์ รวมถึงน้องๆที่คุณพ่อคุณแม่อยากให้เรียนแพทย์
ต้องมารับทราบความเป็นจริง และเตรียมตัว เตรียมใจ รู้รายละเอียดเบื้องลึกของการเรียนแพทย์ รวมถึงการเรียนแพทย์ในแต่ละสถาบัน
ที่คัดลอกมาไว้นี้ เป็นเนื้อหาส่วนสำคัญ บางส่วน จากงานวันนั้น รวมถึงบทความจากหนังสือในงาน
ศ.คลินิก พญ.บุญเชียร ปานเสถียรกุล คณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานเปิดงาน กล่าวว่า การเรียนแพทย์ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่นักเรียนหลายคนคิด นักเรียนที่ตัดสินใจเข้ามาเรียนจะต้องพบกับความเหนื่อยยาก ตลอดทั้งชีวิตอาจจะต้องทิ้งการแสวงหาความสุขอย่างที่คนอื่นมี สิ่งที่จะต้องมี ความอดทน ขยัน เสียสละ และรับผิดชอบ การเรียนแพทย์ใช้เวลา 6 ปี หลังจากเรียนจบต้องทำงานใช้ทุนคืนให้ประเทศอีก 3 ปี หลังจากนั้นถึงจะมีโอกาสไปศึกษาต่อแพทย์สาขาเฉพาะทางอีก 3-5 ปี
พร้อมกันนี้ นักเรียนแพทย์จะต้องรักษาสุขภาพ ระมัดระวังอย่าให้ป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างศึกษา ซึ่งจะทำให้เรียนไม่ต่อเนื่อง ขณะที่เรียนหนักจนแทบไม่มีเวลาให้ครอบครัว ที่สำคัญที่สุดคือ ตัวนักเรียนต้องมีความเต็มใจ ต้องอยากเรียนเอง ไม่ใช่เพราะผู้ปกครองอยากให้เรียน หรือเรียนตามเพื่อน หรือเรียนเพราะอยากมีเกียรติ อยากมีรายได้ดี ซึ่งจะทำให้เมื่อเข้ามาเรียนแล้วเรียนไม่จบ
“มีนักเรียนบางคนเพราะตามใจพ่อแม่ เรียนตามเพื่อน ซึ่งไม่ได้อยากเรียนแพทย์จริงๆ หรือไม่ได้เต็มใจอยากเรียนแพทย์ เข้ามาจะมีปัญหามากในการเรียน บางคนสอบตกต้องเรียน 9-12 ปี เมื่อจบไปก็ไม่ได้เป็นแพทย์ บางคนเปลี่ยนเส้นทางไปเลย แต่บางคนก็ไปทำงานเป็นฝ่ายบริหารของโรงพยาบาล หรือห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ซึ่งก็ถือว่าไม่ห่างจากวิชาชีพนัก จุดสำคัญอีกจุดหนึ่งคือ การสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม หากไม่ตั้งใจเรียนจะสอบไม่ได้ ก็จะไม่ได้เป็นแพทย์เช่นกัน” ศ.คลินิก พญ.บุญเชียร กล่าวถึงคนที่อยากเรียนแพทย์จริง ๆ แต่ไม่มีเงิน ขอให้แสดงความตั้งใจมุ่งมั่นให้ชัดเจน เพราะทุนที่ให้แก่ผู้เรียนแพทย์มีอยู่มากและเพียงพอ แต่เมื่อเรียนจบอาจต้องทำงานใช้คืนทุนนานกว่าคนอื่น
ในขณะนี้ประเทศไทยยังถือว่าขาดแพทย์อีกมาก คิดเป็นอัตราส่วนแพทย์ 1 คนต่อประชากร 1,600 คน แต่ที่เหมาะสม น่าจะไปถึง 1 ต่อ 800 คน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีกนานกว่า 10 ปี แต่ละปีมีนักศึกษาแพทย์เรียนจบประมาณ 1,250 คน การศึกษาแพทย์วิชาชีพเฉพาะทางในไทยรับได้ประมาณปีละ 300 คน ปัญหาในการเรียนการสอนแพทย์ขณะนี้อยู่ที่ปี 1-3 หรือชั้นพรีคลินิก อาจารย์จะสอนวิทยาศาสตร์แท้ ๆ โดยไม่ได้ระบุชัดเน้นเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับแพทย์ ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิรูปหลักสูตร
“ทำอย่างไรจึงจะได้เป็นแพทย์?”
พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
นักเขียนและสูติ-นรีแพทย์ 9 โรงพยาบาลพิจิตร
น้องๆที่รัก…
ในปีพ.ศ. 2545 สำนักพิมพ์สนุกอ่าน ได้รวมบทความเกี่ยวกับชีวิตนักศึกษาแพทย์ที่พี่เขียนลงเป็นตอนๆในนิตยสารใกล้หมอเป็นพ็อคเก็ตบุ๊คเรื่อง“บันเทิงบันทึกนักศึกษาแพทย์” ตามมาด้วยพ็อคเก็ตบุ๊คเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตแพทย์ฝึกหัด “สวัสดีคุณหมอใหม่”ในปี พ.ศ. 2548 พี่จึงรู้ว่าน้องๆที่อยากเป็นแพทย์นั้น มีจำนวนมากมายทีเดียว น้องๆหลายคนติดต่อมา มีทั้งเขียนจดหมาย, อีเมล, และโทรศัพท์ แต่ละคนบอกว่า…อยากเรียนแพทย์มาก ทำอย่างไรจึงจะได้เรียนแพทย์? มีไม่น้อยที่ถามถึงเคล็ดลับที่ทำให้พี่สอบติดแพทย์ที่เขียนในหนังสือว่า เอาเท้าจุ่มน้ำเย็นจะได้อ่านหนังสือได้ทั้งคืนนั้น…เป็นเรื่องจริงไหม? น้องบางคนบอกว่าลองทำดูแล้วพบว่าไม่หลับทั้งคืนก็จริง แต่ไปหลับในห้องเรียนแทน ทำเอาเรียนไม่รู้เรื่องไปทั้งวัน
อันที่จริงคนเรานั้นมีเงื่อนไขต่างกัน ที่พี่เล่านั้นเป็นเรื่องหนึ่งที่พี่พยายามกระทำเพื่อจะได้เป็นแพทย์ ชีวิตคนเรานั้น คนที่มีเงื่อนไขครบสมบูรณ์ ประเภทอยากเป็นอะไรก็เป็นได้มีน้อย ส่วนใหญ่อยากจะเป็นอะไร โดยเฉพาะเป็นให้เก่งให้ดี ต้องใช้ความพยายามสูงสุดทั้งนั้น ตอนเด็กๆชีวิตพี่ลำบาก เป็นเด็กกำพร้าขาดแคลน เผอิญไปรู้จักนักศึกษาแพทย์และทีมแพทย์จากญี่ปุ่นที่มาทำงานวิจัยที่โรงเรียน จึงใฝ่ฝันอยากเรียนแพทย์ การเป็นแพทย์ของพี่จึงเป็นเรื่องที่ลำบากฝ่าฝันกว่าจะประสบความสำเร็จแม้ไม่ใช่คนทุกคนที่จะเรียนแพทย์ได้ แต่การเรียนแพทย์ไม่ใช่ของไกลจนสุดเอื้อมการสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ อาศัยคุณสมบัติเพียง 2ประการจ๊ะน้อง ประการที่หนึ่ง เรียนดีเรียนเก่ง
คนจะเรียนแพทย์ได้ ควรเรียนเก่งเป็นอันดับต้นอย่างน้อยร้อยละสิบของนักเรียนทั้งหมด วิชาที่ต้องเก่งระดับยอดเยี่ยมได้แก่วิชาคณิตศาสตร์ ระดับดีถึงดีมาก ได้แก่ ภาษาอังกฤษ ชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ ส่วนอย่างอื่นๆอย่างน้อยต้องระดับดี ไม่ว่าสังคม ภาษาไทย พละศึกษาฯลฯ วิชาเหล่านี้แม้ไม่ใช่พื้นฐานของการเรียนแพทย์ทุกวิชา แต่การเรียนเก่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะวิชาแพทย์มีเนื้อหาวิชามากมาย หลายอย่างอาศัยความจำที่เป็นเลิศ บางอย่างซับซ้อนเข้าใจยาก บางอย่างอาศัยการคำนวณ บางอย่างอาศัยภาษาอังกฤษที่แตกฉาน บางอย่างอาศัยความคิดเป็นเหตุเป็นผลฯลฯ เรียกว่าจะเรียนรู้ให้เข้าใจ เกือบทุกเรื่องล้วนต้องอาศัยสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดเป็นหลัก
ประการที่ 2 ร่างกายแข็งแรง โอบอ้อมอารี มีเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีมนุษยสัมพันธ์ แก้ปัญหาโดยใช้เหตุผลเหนืออารมณ์ ฯลฯ
อันที่จริงเรื่องนี้สำคัญเป็นอันดับหนึ่งเพราะเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ที่จะเป็นแพทย์ แต่ที่เขียนเป็นประการสอง เพราะแม้บางส่วนเป็นคุณสมบัติที่ครอบครัวและตนเองสร้างมา แต่บางส่วนอาจเป็นเรื่องสร้างขึ้นภายหลังได้ ข้อสอบเข้าแพทย์ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นข้อเขียน สัมภาษณ์ ตรวจร่างกาย ส่วนหนึ่งมุ่งเน้นเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหล่านี้
แค่มีคุณสมบัติ2 ประการนี้ น้องย่อมสอบเข้าแพทย์ได้แล้ว เย้…
แต่การสอบเข้าได้ ไม่ได้ประกันว่าน้องสามารถเรียนจนจบเป็นแพทย์ น้องนักเรียนหลายคนเมื่อสอบเข้าแพทย์ได้ คิดว่าตนเองประสบความสำเร็จ บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดของตนเองและผู้ปกครองจนเลือกใช้ชีวิตอย่างประมาท ในขณะความเป็นจริงคือ การจะเรียนจนจบแพทย์ได้ อาศัยคุณลักษณะที่จำเป็นอีกหลายประการ ขอยกมาเพียง7ประการได้แก่
ประการที่ 1 ความเป็นแพทย์ต้องการคนที่มีร่างกายแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง ไม่มีโรคจิต โรคประสาท สามารถทนต่อสภาวะที่เครียดได้
แม้มีการคัดคุณสมบัติบุคคลก่อนเรียนแพทย์ แต่อาจไม่สามารถเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ได้หมดจริง คนที่มีร่างกายป่วยกระเสาะกระแสะ จิตใจอ่อนแอไม่อาจรับความกดดันใดๆ หรือเครียดง่าย ล้วนเป็นอุปสรรคของการเรียนแพทย์ ส่งผลให้น้องเรียนไม่จบ หรือเกิดความเครียด จนมีบางรายต้องปลิดชีวิตตนลง ซึ่งมีทั้งที่เป็นนักศึกษาแพทย์ และที่เรียนจนจบแพทย์แล้ว
ประการที่2 ความเป็นแพทย์ต้องการคนที่มีวินัยและความรับผิดชอบ
คนที่สอบเข้าแพทย์ได้ ส่วนใหญ่ต้องมีวินัยในการใช้ชีวิต รับผิดชอบอ่านหนังสือ ติวความรู้ฯลฯ จนผลการเรียนดีเด่น แต่เมื่อสอบเข้าเรียนแพทย์ได้ บางคนคิดว่า ขอเรียนให้ผ่านก็พอ ไม่จำเป็นต้องเอาจริงเอาจัง จึงย่อหย่อนวินัยและความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงในรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย ที่ฝากชีวิตไว้กับการดูแลเอาใจใส่ของแพทย์ ในแต่ละปีมีนักศึกษาแพทย์ที่ถูกรีไทร์จากการขาดวินัยและความรับผิดชอบ สมัยที่พี่เป็นนักศึกษาแพทย์ เพื่อนนักศึกษาแพทย์ที่ถูกรีไทร์มีหลายคน ส่วนหนึ่งในจำนวนนั้นไม่อ่านหนังสือไปสอบ, ไม่ไปขึ้นวอร์ด(ตึกคนไข้), ไม่ดูแลคนไข้ที่รับผิดชอบ, บางคนไม่ไปเรียนแต่เพลิดเพลินกับการเล่นไพ่อยู่ที่หอทั้งวันทั้งคืน
ประการที่3ความเป็นแพทย์ต้องการคนที่พร้อมจะใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในวิชาชีพแพทย์ เวลาส่วนตัวของน้องไม่ใช่ของน้องคนเดียว ไม่ว่าอยู่เวรหรือไม่ หากน้องถูกตาม น้องต้องพร้อม ไม่ว่าน้องจะทำอะไรอยู่ หากมีคนไข้อยู่ในภาวะวิกฤตของชีวิต ทุกอย่างที่ทำอยู่ต้องกลายเป็นรอง ด้วยการช่วยชีวิตคนไข้นั้นมีความสำคัญที่สุดสำหรับคนที่จะเป็นแพทย์
ประการที่ 4 ความเป็นแพทย์ต้องการคนที่มีความอดทน
ทั้งอดทนต่อความเหน็ดเหนื่อย เช่นอยู่เวรทั้งคืน แต่เช้าต้องมาทำงานหรือมาเรียน เหมือนคนนอนหลับสบายทั้งคืน ทั้งอดทนต่อของที่น่ารังเกียจ เช่นต้องตรวจ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เสมหะ อวัยวะที่เปื่อยเน่า ฯลฯ
น้องบางคนรักของสวยของงามมาก ไม่อาจทนได้กับสิ่งเหล่านี้ จนเปลี่ยนคณะเรียนก็มี
ประการที่ 5 ความเป็นแพทย์ต้องการคนสนใจใฝ่รู้ตลอดชีวิตด้วยตนเอง
วิชาแพทย์ เป็นวิชาที่กว้างและลึกไม่มีวันเรียบจบ ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ การรักษา เวชภัณฑ์ เครื่องไม้เครื่องมือ ที่ก้าวหน้าเปลี่ยนแปลงไปฯลฯ จึงต้องอาศัยการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แค่ในตำราอาจไม่พอที่ทำให้น้องสอบผ่าน รับใบอนุญาตหรือใบประกอบโรคศิลป์เพื่อเป็นแพทย์ได้
ประการ6 ความเป็นแพทย์ต้องการคนมีจริยธรรม
อันที่จริงวิชาใดๆในโลกนี้ล้วนต้องการคนมีจริยธรรมทั้งนั้น แต่ เรื่องนี้เป็นเรื่องกำหนดไว้ในคุณสมบัติของวิชาชีพแพทย์ ดังนั้นหากน้องทำผิดจริยธรรม ซึ่งอาจไม่ผิดร้ายแรงสำหรับบางอาชีพ แต่วิชาชีพแพทย์ถือว่าเป็นความผิดอย่างรุนแรง จนอาจเรียนไม่จบ เช่นโกหกหลอกลวง ประเภทไม่ได้ตรวจคนไข้บอกว่าตรวจแล้ว ลอกงานคนอื่นมาส่งอาจารย์เป็นงานตนเองเป็นต้น
ประการ7 ความเป็นแพทย์ต้องการคนที่มีความมุ่งมั่น มีปณิธาน
น้องที่จะเรียนแพทย์ ควรเป็นผู้ต้องการเป็นแพทย์จริงๆ นั่นหมายความว่าน้องควรต้องเรียนรู้ เข้าใจ และศรัทธาวิชาชีพแพทย์ ซึ่งจะทำให้น้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ตั้งแต่ก่อนสอบเข้าแพทย์ เมื่อสอบได้ การใช้ชีวิตแบบที่ความเป็นแพทย์ต้องการ จะส่งผลทำให้น้องประสบความสำเร็จ เรียนจบ ได้ปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ตามที่น้องใฝ่ฝัน
น้องๆที่รัก…
ก่อนจบ พี่ขอฝากถึงท่านผู้ปกครองและน้องๆที่ต้องการเป็นแพทย์ในเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง คือความเชื่อว่าวิชาชีพแพทย์นั้นร่ำรวย จนทำให้หลายคนอยากเป็นแพทย์เพราะเหตุนี้
วิชาชีพแพทย์นั้นยังไม่มีการตกงานตั้งแต่อดีตมาจวบปัจจุบัน แพทย์ไม่ยากจน แต่ก็ไม่ร่ำรวย เมื่อเทียบกับอาชีพอื่นๆ(ที่ทำงานอย่างเหนื่อยยาก, ทุ่มเทเวลา, และใช้สมองที่ชาญฉลาด เท่าๆกัน)… วิชาชีพแพทย์ได้ค่าตอบแทนน้อยกว่า จนมีอาจารย์แพทย์บางท่านบอกว่า…ค่าตอบแทนหมอน้อยกว่าหมอนวดฝ่าตีน มิหนำซ้ำยังมีความเสี่ยง ต่อการติดโรค ถูกฟ้องร้อง เสื่อมสุขภาพตนเองและคนในครอบครัว(เนื่องจากไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว)
อย่างไรก็ตาม แพทย์เป็นวิชาชีพที่มีโอกาสได้สร้างบุญบารมี การทำงานด้วยพรหมวิหาร4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์และผู้ตกทุกข์ได้ยาก สามารถสร้างความปลื้มปีติในหัวใจของตนเองและครอบครัวอย่างหาอาชีพอื่นเทียบเทียมได้น้อย มิหนำซ้ำ วิชาชีพแพทย์ยังทำให้ปลงตก เห็นความอนิจจังของชีวิต ด้วยการใกล้ชิดวัฎจักรเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…