นักการเมืองโรคจิต(2)
BLOGGLA.COM
มาต่อกันเกี่ยวกับเรื่องจิตๆ
ตอนที่แล้ว ผมเขียนบทความ “นักการเมืองโรคจิต” ในทำนองล้อเลียนการเมืองเสียมาก
ที่เขียนไปนั้น คิดว่ายังคงความหมายเชิงวิชาการอยู่ มีการเปรียบเทียบเพื่อความเข้าใจง่ายของประชาชนทั่วไป
ก็ต้องขออธิบายท่านผู้อ่านเพิ่มเติม ว่าจริงๆแล้ว พวกนักการเมือง จะเป็นพวกที่มีคุณสมบัติพิเศษ นั่นคือ เป็นดารา บางทีอาจไม่ได้เป็นโรคจิต แต่เสแสร้งให้เหมือนได้ จึงวินิจฉัยแยกโรคได้ยาก (Differential diagnosis) คนจำพวกนี้จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อผลประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า Conflict of interest คนไทยมักแปลคำนี้ที่มีต้นกำเนิดมาจากทางจิตเวชไม่ถูกเท่าไรนัก มักแปลเป็น “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ไปแทน ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ซะทีเดียว
ยกตัวอย่าง รัฐบาลไม่ช่วยเหลือเหลือชาวบ้านด้านเศรษฐกิจเลย ข้าวของแพงขึ้นทุกวัน มัวแต่ชิมไปบ่นไป ใช้ปากบริหารประเทศ อย่างนี้ก็เรียกว่า Conflict of interest กล่าวคือ ไม่ยอมทำงาน แต่มัวไปหมกมุ่น พยายามทุจริต ขายแผ่นดิน เพื่อผลประโยชน์ตนเอง, นายใหญ่ และพวกพ้อง
มีปรมาจารย์เก่าแก่ด้านจิตเวช ของพระมงกุฎฯ ได้เมตตาให้ตำราจิตเวชวิเคราะห์ วินิจฉัยโรคจิตในนักการเมืองซึ่งผมไม่ขอวินิจฉัยว่า นักการเมืองคนไหนที่เป็นโรคจิตบ้าง เดี๋ยวจะกลายเป็นแบบ ท่านอาจารย์ พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ ที่กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาครั้งก่อน วินิจฉัยโรคนักการเมืองท่านหนึ่ง ความจริง จิตแพทย์มองแล้วรู้ดีว่า นักการเมืองท่านนั้นน่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับด้านความเครียด การวิตกกังวล เหมือนดังคนโบราณว่า หน้าดำคร่ำเครียด เป็นเรื่องจริง และดูการพยากรณ์โรค (Prognosis) คิดว่าคงอยู่ได้อีกไม่นานถ้าไม่ได้รับการรักษา (แต่จิตแพทย์สามารถช่วยรักษาบรรเทาอาการได้ น่าเสียดายจริง… จรรยาบรรณแพทย์ ห้ามเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ไม่แน่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งได้อีกนานเท่าไร เขียนถึงตอนนี้ คงมีผู้อ่านตะโกนว่า “ออกไป”, “เข้าคุก”)
พูดถึงนักการเมืองแล้ว ต้องนึกถึงคำนี้ ความเห็นแก่ตัว ซึ่งจัดเป็นโรคแล้วนะครับ [อ้างอิงจาก www.PubMed.gov ของกระทรวงสาธารณสุขอเมริกัน ] ท่านผู้อ่าน คงวินิจฉัยโรคได้แทนบรรดาจิตแพทย์ เพราะนักการเมืองหลายคนเห็นแก่ตัวกันมาก ทางปรัชญาเรียก อัตตนิยม คือ ทำทุกอย่างเพื่อตนเอง จึงอย่าแปลกใจถ้าฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ, พันธมิตรฯชุมนุมเล่าความจริงถึงความชั่วร้ายรัฐบาลเท่าไร ขายแผ่นดินเท่าไร แต่ ส.ส.ในสภาส่วนใหญ่ก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ยกมือเห็นชอบไว้วางใจรัฐบาลต่อไป
ในงานวิจัย พบว่า ความเห็นแก่ตัวนี้ (Selfishness) เป็นสิ่งที่สามารถสืบทอดกันมาทางพันธุกรรมด้วย ดังนั้น จึงได้ยินคำกล่าวอยู่เสมอว่า โกงทั้งโคตร(เหง้า) โกงทั้งตระกูล
เชื่อว่า ความเห็นแก่ตัว สืบทอดมาจากยีนส์เดียวกับการแสดงออกอีกประเภทหนึ่ง ที่เรียกว่า Altruism หมายถึง “การไถ่บาป” จะพบมากในนักการเมือง กล่าวคือ พวกที่ทำสิ่งชั่วร้ายมามาก ลึกๆในจิตใจอยากจะรู้สึกทำสิ่งดี สร้างภาพ ปกปิดความชั่ว หรือทดแทนส่วนลึกของจิตใจที่รู้สึกผิด (Defensive mechanism กลไกป้องกันจิตใจ) จึงแสดงออกในรูปแบบการทำบุญ เช่น พวกชอบบริจาคทาน หรืออย่างรัฐบาลที่ออกนโยบายลดค่าน้ำ ค่าไฟ ลดค่ารถเมล์ ต่างๆเหล่านี้ ก็จะเป็น Altruism เหมือนกัน เพราะว่าพฤติกรรมที่ผ่านมา ทำเรื่องเลวร้ายไม่พอใจประชาชนมามาก รวมถึงกรณีเสียแผ่นดิน ปราสาทพระวิหาร จึงพยายามมาสร้างภาพแสดงออกด้านดี
อันนี้ก็แล้วแต่ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินว่าให้อภัยกันได้หรือไม่ ทดแทนกันได้หรือไม่ แต่สำหรับทางจิตเวช ควรรีบไปบำบัด ช็อตไฟฟ้า รักษาให้หายบ้ากันเสียทีสำหรับผู้ที่แกล้งเป็นโรคจิต เหล่านี้
เขียนเรื่อง Defensive mechanism ไว้ ต้องขออธิบายเรื่องเกี่ยวเนื่องกันก่อนนะครับ คือเรื่องจิตสำนึก ทางจิตเวช แบ่งระดับของจิตใจเป็น 3 ระดับ คือ ระดับจิตสำนึก(Conscious), ระดับจิตใต้สำนึก(Subconscious) และ ระดับจิตไร้สำนึก (Unconscious) จะขออธิบายระดับไร้สำนึก คือระดับจิตใจที่อยู่ลึกที่สุด ปกติจะเราจะไม่รู้ว่าลึกๆแล้วเราคิดอะไรอยู่ ระดับนี้อาจแสดงออกมาในการกระทำที่เรียกว่ากมลสันดาน หรือในความฝันแทน เช่น ถูกรัฐประหารจนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ จิตไร้สำนึกจะบันทึกข้อมูลไว้ และอาจแสดงออกคือฝันร้ายถึงเหตุการณ์วันนั้นตลอดเวลา จิตใจจะมีกลไกป้องกันจิตไร้สำนึกไม่ให้เสียหายมากไปกว่านี้ ไม่ให้เสียสติไป โดยการแสดงออกหลายแบบในระดับจิตสำนึก (คือขณะทำ รู้ตัวดี แม้จะไม่เข้าใจว่าทำเพราะอะไร) ดังจะยกตัวอย่างต่อไป
มีกลไกการป้องกันจิตใจอยู่มากมายครับ เช่น Denial คือ พวกปฏิเสธความจริง เช่น ไม่ยอมรับว่าทุจริตโกงกินไว้มากต้องชดใช้ความผิด ต้องถูกศาลตัดสินจำคุก แต่กลับปฏิเสธความจริง จะได้ไม่เครียด เอาถุงขนมสองล้านบาทไปให้เจ้าหน้าที่ศาล เดือดร้อนทนายความลูกน้องที่ต้องติดคุกแทนอีก แต่ก็สมควร เพราะทนายพวกนี้หวัง Conflict of interest ยังไงล่ะครับ (ถ้าลืมความหมาย กลับไปอ่านข้างบน)
Projection คือ การโยนความผิดให้ผู้อื่น อันนี้คงใช้อธิบายเรื่องนักการเมืองที่ชอบซุกหุ้น เครียดจัด ก็เลยโยนความเครียดไปให้ลูกเมียซุกหุ้นแทน หรือ การกระทำผิด ก็ต้องทำผ่านนอมินี รวมถึงเรื่องปราสาทพระวิหารด้วย ที่มีคนคอยรับผิดแทน
Rationalization คือ การอ้างเหตุผลข้างๆคูๆเข้าข้างตนเอง อยู่เสมอ เช่น อยากแก้รัฐธรรมนูญ อ้างเพื่อประโยชน์ของประชาชน จริงๆแล้วก็เพื่อหนีความผิด อีกหน่อย ผมอยากให้อาญชากรในคุกรวมตัวกันยื่นสักสองหมื่นรายชื่อ ขอแก้ไขกฎหมายอาญา ให้ตนเองไม่ต้องติดคุกดูบ้าง
Acting out อันนี้จะเห็นได้ชัดจากรายการโทรทัศน์ ที่มีนักการเมืองคนหนึ่งมานั่งพูดคนเดียว ด่ากราดสื่อไปทั่ว นั่นคือ เมื่อมีความเครียดในใจมาก ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร ก็แสดงออกมาตรงๆอย่างไร้การศึกษา หยาบคาย รุนแรง เลยครับ รวมถึงต้องขอพูดข้างเดียว กระทำฝ่ายเดียวด้วย กลัวคนตอบโต้
ยังมีกลไกการป้องกันจิตใจอีกแบบหนึ่งที่น่าสนใจ เรียกว่า Identification (การเลียนแบบ) ยกตัวอย่าง หากพ่อเป็นคน ทุจริตคอรัปชัน ลูกเห็นแล้วเกิดคลาบแคลงในใจ มีความเครียด สับสน ในระดับจิตไร้สำนึก จิตใจจะมีการป้องกันไม่ให้ตัวเองเสียหาย โดยการแสดงออก คือ พอโตขึ้นก็เลียนแบบพ่อเสียเลย จะได้ไม่รู้สึกผิด พ่อทำไว้อย่างไร ตนเองก็ทำเช่นนั้น นี่ถือเป็น Defensive mechanism อีกแบบหนึ่ง จะช่วยอธิบายว่า ทำไม นักการเมืองหลายท่าน พ่อโกง ลูกต้องโกงด้วย หรือพ่อปลาไหล ลูกต้องปลาไหลด้วย หรือพ่อไม่มีจุดยืน ลูกไม่มีจุดยืนด้วย เขาเรียกลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น นั่นเองครับ
การเรียนรู้จิตเวช จะทำให้พวกเราเข้าใจเหตุผลการกระทำของคน มากขึ้น อย่างที่ยกตัวอย่างไป ถ้าพบเห็นคนที่พยายามมาทำดีกับเรามากๆ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า เบื้องหลังคนนั้นๆ คงมีสิ่งไม่ดีแอบแฝงอยู่เช่นกัน ถ้าพูดถึงการเมือง ต้องยกตัวอย่าง เช่น การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ที่ใกล้ถึงนี้ บางคนโฆษณาประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ดูดี หาเสียงมากมาย “บริหารกรุงเทพฯ ให้เป็นตัวอย่างการบริหารประเทศ” แต่เบื้องหลังเคยวิจารณ์คนกรุงเทพฯว่าฉลาดน้อย ที่เลือกคุณรสนา โตสิตระกูล เป็น ส.ว. อย่างนี้ คิดไว้ก่อนเลยว่า “สร้างภาพ” และคงสอบตกแน่นอน
มีเรื่องหนึ่งที่ จิตแพทย์ เป็นห่วงกันมาก คือเกี่ยวกับการชุมนุมของพันธมิตรฯ อยากฝากความห่วงใยบอกผู้ที่ไปชุมนุมว่า ต้องพักผ่อนด้วยนะครับ ระมัดระวัง รักษาสุขภาพให้ดี เพราะการอดหลับอดนอน และอยู่กับผู้คนจำนวนมาก จะทำให้เครียด และอาจแสดงความก้าวร้าวรุนแรงออกมาได้ (แต่ถือว่าโชคดีมากที่ แกนนำพันธมิตรฯ เข้าใจเรื่องนี้ จึงมีศิลปิน มาร้องเพลง แสดงการแสดงบนเวทีอยู่ ลดความเครียดมวลชนไปได้เยอะ)
ต้องระวังเรื่องท่าที่การแสดงออกกันด้วย เพราะล่าสุดมีดาราคนหนึ่ง ที่ให้สัมภาษณ์วิจารณ์คนที่มาชุมนุม ว่า ทำให้ในหลวงบรรทมไม่สนิท ดาราคนนี้ จิตแพทย์รู้กันดีว่า เป็นเรื่องของผู้ป่วยติดยาเสพติด
การรักษาผู้ป่วยทางด้านจิตเวช ถ้าจะพูดโดยรวมๆ คือการที่เราจะสงสัยว่าใครป่วยทางใจนั้น เรามักนึกถึงเรื่องทางกายก่อนด้วย เช่นบางคนถูกอุบัติเหตุ สมองกระทบกระเทือน ก็เป็นสาเหตุให้ป่วยทางจิตได้, บางคนป่วยเพราะได้รับสาร หรือเสพยาเสพติดมากเกินขนาด ดังนั้น จิตแพทย์ส่วนหนึ่งก็รักษาผู้ป่วยติดยาด้วยเช่นกัน
ในรายดาราคนนี้ ติดกัญชา(Cannabis/Marijuana) และเสพมานมนาน กัญชาจัดเป็นสารเสพติด ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำลายสมองนั่นเอง เพราะฉะนั้น การทำงานที่ใช้สติปัญญา ความนึกคิด จะลดลง ผู้อ่านจึงมักคิดว่าทำไมดาราคนนี้ถึงกล้าดีมาวิจารณ์ ก็ เพราะสมองถูกทำลายไปแล้วมากนั่นเอง จึงฉลาดน้อย
ผู้เสพกัญชา จะทำให้ผู้ป่วยช่างพูด หัวเราะ ยิ้มแย้มตลอดเวลา ท่านผู้อ่านจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมดาราคนนี้ถึงให้สัมภาษณ์โดยไม่ไตร่ตรอง เพราะว่าอารมณ์ครึกครื้นจากฤทธิ์กัญชานั่นเอง บางอารมณ์ อาจเซื่องซึม ดูคล้ายคนเมาด้วย แม้จะไม่ได้ทานเหล้ามาก็ตาม จะเห็นได้ถึงอาการซึม รวมถึงร้องไห้ด้วยในเวลาต่อมา หากเสพเข้าไปในปริมาณมากๆจะหลอนประสาททำให้เห็นภาพลวงตา (Visual hallucination) หูแว่ว (Auditory hallucination) ความคิดสับสน(Confusion) ควบคุมตนเองไม่ได้ คิดว่าคงพอตอบท่านผู้อ่านได้ว่า ทำไมดาราคนนี้ดูพูดจาสับสน ควบคุมตนเองไม่ได้ ให้สัมภาษณ์อย่างไม่มีสติปัญญา เพราะอะไร
เรื่องยาเสพติด ยังมีอีกมาก และแม้ว่ารัฐบาลบางรัฐบาลจะคุยว่าตนเองปราบปรามยาเสพติดได้หมด แต่จริงๆแล้ว แวดวงดารา-นักการเมือง-ลูกนักการเมืองดัง-ไฮโซใจต่ำ ก็ยังเสพยากันอยู่มาก ถ้าเสพมากๆก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ ก็เป็นโชคดี เพราะแผ่นดินจะสูงขึ้น น้ำจะได้ไม่ท่วมโลก เนื่องจากโลกร้อนขึ้นทุกวัน
ไว้คราวหน้า ถ้าท่านบรรณาธิการกรุณาให้โอกาส จะมาเขียนต่อถึงเรื่อง โรคจิต โรคประสาท ต่างกันอย่างไร นะครับ นักการเมืองหลายท่านก็เป็นโรคประสาทชัดเจนครับ
อ่าน นักการเมืองโรคจิต ตอน 1 ได้ ที่ http://www.bloggla.com/?p=76
อ่าน นักการเมืองโรคจิต ตอน 3 ได้ ที่ http://www.bloggla.com/?p=68
PiiE
สุดยอดเลยกล้า
ได้ทั้งความรู้ทางวิชาการ
ได้รู้ข่าวการเมือง
แถมตามด้วยช่าวบันเทิง ตบท้าย (ไว้เพื่อแก้เครียดใช่มั้ย)
นี่ถ้าใครไม่ได้ติดตามข่าว ต้องเสียอรรถรสแน่เลย คงฮาน้อยลง ไม่ก็งงว่าใครว้า (แต่เรารู้นะ โชคดีที่ตามข่าว)
ไงก็แล้วแต่ เขียนมาให้อ่านเรื่อยๆ เถอะนะ
ครบครันทุกอย่างเลย
ว่าแต่ว่า พวกนักการเมืองโรคจิตนี่ น่าโดนไฟฟ้าช๊อตจริงแล
จะได้หาย (ด้วยความปรารถนาดี จริงๆนะ ไม่ได้โม้)
555 ^^
Pichet
ดีๆ สนุกดีแต่พูดถึงจิตวิทยาแล้วนี่ รู้สึกว่าหลายคนจะมีความโรคจิตแฝงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้เพียงแต่นักการเมืองบางคนนี่ถึงขั้นรุนแรง
สันดานของนักการเมืองบางคนก็คงแก้ไม่ยากด้วยการปฏิบัติธรรม มองอะำไรๆ
ตามความเป็นจริง แต่ที่ยากคือพวกนี้คงไม่ค่อยยอมรับความจริงเท่าไหร่
เพราะมีฤทธิ์เดชเหนือชาวบ้านทั่วไป อยากได้อะไรก็ใช้เงินบันดาล
คงกู่ไม่กลับง่ายๆขอให้กำลังใจทุกท่านที่ทำเพื่อสังคมไทย แต่ก็ระวังอย่าให้ปัจจัยภายนอกมามีผลมากเกินไปละกัน ศึกษาปัจจัยภายในบ้างเป็นครั้งคราว ความเครียดก่อตัวขึ้นมาก็ให้รู้ทันจะได้ยืนหยัดต่อสู้ได้อีกนาน
Din
ทุกคนก็สบายดีน่ะครับ
พี่กล้าก็ดูแลสุขภาพดี ๆ นะครับ เห็นว่างานเยอะนี่ 555+
แนวแนว
ไอ้คนที่โพสนั้นแหละโรคจิตของจิงงงงงง
นักการเมืองโรคจิต « Bloggla : Chanesd Srisukho
[…] อ่าน นักการเมืองโรคจิต ตอน 2 ได้ ที่ http://www.bloggla.com/?p=73 […]