นักการเมืองโรคจิต(3)
หมายเหตุ เขียนไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2551 จะได้ลง Demo-Crazy.com เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2551
ตอนสุดท้ายแล้วนะครับ สำหรับมหากาฬไตรภาค ฉบับ “นักการเมืองโรคจิต”
มีเพื่อนสนิทนักศึกษาไทยในอเมริกาบอกผมว่า เวลาพูดถึงเรื่องการเมือง แล้วไม่พูดถึงคุณทักษิณ ก็เปรียบเสมือนไม่ได้พูดเรื่องการเมือง
แสดงให้เห็นว่าคุณทักษิณเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยไปมากในช่วงไม่กี่สิบปี สร้างระบอบทักษิณหยั่งรากลึกลงไปถึงระดับรากหญ้า ทักษิณกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการเมืองไทยไปแล้ว แม้ว่าในสายตาประชาชน พันธมิตรฯ จะมองทักษิณเป็นมารร้าย หัวหน้าตัวจริงรัฐบาลสัตว์นรก เทวทัต ฯลฯ ก็ตาม
ตัวผู้เขียนเองเรียนหมอ วิชาชีพทางการแพทย์เพียงอย่างเดียวอาจรักษาผู้ป่วยทางกายได้ หากแต่การพัฒนาประเทศชาติ การเปลี่ยนแปลงสังคมไทยนั้น ต้องใช้การรักษาทางจิตใจ ธรรมะ คุณธรรม จริยธรรม ยกระดับสติปัญญา การศึกษา เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนทั่วไป ตื่นตัว รับทราบในความเป็นไปทางการเมือง และทำความเข้าใจว่าประชาชนมีพลัง มีอำนาจ สามารถมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ อย่างกรณีพันธมิตรที่เราเห็นนี้นั่นเอง ผู้คนที่ไม่ยอมทนปล่อยให้ความชั่วร้าย ต่ำช้า มาย่ำยีสถาบัน ปกครองประเทศ
ผมเชื่อว่าในตอนนี้ประชาชนสามารถมองเห็นอนาคต เห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากขึ้น ด้วยการนำร่องของขบวนการภาคประชาชน และตุลาการภิวัฒน์ แม้ว่าจะยังมีปัญหาอีกมากมายในประเทศก็ตาม ระบอบรัฐตำรวจ ผู้นำทหารที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน การคอรัปชันทุกหย่อมหญ้าตั้งแต่องค์กรระดับหมู่บ้าน ระดับตำบล ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการศึกษา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาภาคใต้
ทั้งหมดนี้ล้วนแก้ไขได้หากประชาชน คือพวกเรา มีความรู้ มีปัญญา ดังนั้น การช่วยกันเผยแพร่ความรู้ ร่วมมือกันทุกหมู่เหล่า เป็นส่วนสำคัญ ที่จะนำพาประเทศไปสู่ความ เจริญก้าวหน้า และเปี่ยมด้วยคุณธรรม
วารสาร DemoCrazy ของพี่อาร์ท(แสงธรรม ชุนชฎาธาร) และทีมงาน นี้ ก็ถือเป็นส่วนช่วยในการพัฒนา ให้ความรู้แก่สังคม และด้วยเพราะเหตุผลนั้น ผมจึงยินดี ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมในวารสารฉบับนี้
อยากให้นักเรียนนักศึกษา รุ่นพี่ เพื่อนๆ รุ่นน้องทั้งหลาย ได้ออกมาแสดงพลังกันมากๆนะครับ ให้เห็นว่านักศึกษาสมัยนี้ยังมีส่วนหนึ่งที่มีอุดมการณ์ตั้งมั่นในการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ความยุติธรรม และสังคมที่ดีขึ้น
สัญญากันไว้ครับว่าจะเขียนเรื่องความแตกต่างระหว่างโรคจิตกับโรคประสาท
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า แพทย์จะดูคน ว่าคนนี้ปกติ หรือมี ความผิดปกติทางจิต (Mental disorder) ได้อย่างไร คนที่มีความผิดปกติทางจิต หรือผู้ป่วยทางจิต จะมีลักษณะคือ มีการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ทำให้ (1)มีทุกข์กาย ไม่สบายใจ เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง เรื้อรัง (2) รบกวนการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน
อาทิ เช่น ผู้ที่ลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ที่อังกฤษ (เป็นรอบที่สองหลังจากรอบแรกคือโดนรัฐประหาร) มีความเครียดมาก จนทุกวันต้องอาศัยแอลกอฮอล์ช่วยบรรเทาความเครียด อารมณ์เปลี่ยนเป็นก้าวร้าวรุนแรง ชอบทำลายข้าวของ และชอบไประบายกับดาราสาวคราวลูก อย่างนี้ แสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวัน เรียกได้ว่ามีความผิดปกติทางจิต(Mental disorder) แล้วครับ โดยที่ความผิดปกติทางจิตนี้ สามารถแบ่งออกเป็นโรคจิต(Psychosis) กับ โรคประสาท(Neurosis) นั่นเอง
แยกจากกัน โดยสูตรของทางจิตเวช RIP นั่นคือ R-Reality มีการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ความเป็นจริง I-insight มีการเปลี่ยนแปลงความรู้ตัวว่ามีความผิดปกติทางจิต(รู้ตัวว่าป่วย) P-personality มีการเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ บุคลิกภาพ สิ่งที่เคยทำประจำเปลี่ยนไปจากเดิม
ทำความเข้าใจไม่ยากครับ โรคจิต คือมีการเปลี่ยนแปลงของ RIP ในขณะที่ โรคประสาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง RIP ผู้ป่วยโรคจิตจึงเป็นพวกที่ไม่อยู่ในโลกแห่งความจริงอีกต่อไป (Out of reality)
ยกตัวอย่าง โรคจิตเภท (Schizophrenia) ซึ่งเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง จะมีการเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ความเป็นจริง(Reality (R)) คนจำพวกนี้ เช่นคนบ้าข้างถนนแต่งตัวซอมซ่อ ยึดมั่นถือมั่นกับการบ้าหอบฟาง หรือในนักการเมืองก็เช่นพวกยึดมั่นถือมั่นกับเงินทอง ทรัพย์สมบัติ จนเกิดกลัว ซึมเศร้า เมื่อจะถูกยึดทรัพย์ 76,000 ล้าน บาท และถูกจำคุก จึงเขียนจดหมายกลับมาไทย บอกว่า ศาลถูกแทรกแซง ไม่ยุติธรรม ซึมเศร้าจนเอ่ยปากทำนองว่าชาตินี้คงไม่มีแผ่นดินให้อยู่ (Major depressive disorder-โรคซึมเศร้า) โรคทั้งสองแบบนี้เป็นโรคจิตทั้งสิ้นครับ พวกนี้รับความจริงไม่ได้เลย และไม่รู้ว่าตัวเองกำลังป่วย คือเสีย Insight (I) และมีการเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ บุคลิกภาพ (เสีย Personality (P) ไป)
กลุ่มโรคความผิดปกติทางอารมณ์ (Mood disorders)จัดเป็นโรคจิต มีหลายประเภทครับ โรคซึมเศร้าที่ยกไปก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เป็นอารมณ์ด้านลบด้านเดียว นอกจากนี้ยังมีโรคที่อารมณ์ด้านบวกด้านเดียว เรียกว่า Mania เช่น ตำรวจรับใช้ ที่ชอบมาแถลงข่าวเอาหน้า ด้วยอารมณ์สนุกสนาน ครื้นเครง หัวเราะ สร้างภาพกับคดีของฝั่งต่อต้านรัฐบาล ดำเนินคดีภายในเวลาวันเดียว ในขณะที่คดีฝั่งรัฐบาล แม้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เช่นกรณีบุกบ้านป๋าเปรม, กรณีเจ๊เพ็ญหมิ่น ผ่านไปเป็นปี คดีล้วนต่างไม่คืบหน้า
ในกลุ่มโรคพวก Mood disorders นี้ ยังมีโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorder) คือเป็นโรคที่มีอารมณ์ด้านบวก ด้านลบ แสดงออกสลับกันไป ที่เห็นชัดมากเป็นคดีดังในอดีต เช่น คดีของอาจารย์แพทย์ประกิตเผ่าในอดีต ที่เวลาตอนอยู่กับภรรยา ก็อารมณ์ด้านลบมาก เครียด และมีอาการหลอน ในขณะที่ไปอยู่กับเปมิกาแล้วอารมณ์บวกดี เคลิ้ม แต่ในกรณีรายนี้ เกิดจากโดนจิตวิทยาหมู่ ผสมยาหลอกด้วยครับ
โรคอารมณ์สองขั้วนี้อาจพบในนักการเมืองที่ชอบมีภรรยาน้อย เช่น บุตรชายท่านที่หนีคดีคลองด่านไปเมืองนอก คู่กับนางแบบสาวร่างโย่งอย่างมีความสุข ครึกครื้นมาก นั่นเองครับ เวลากับอยู่กับภรรยากลับซึมเศร้าเช่นกัน อย่างผู้นำประเทศบางท่านที่อารมณ์ดีครึกครื้นมากเวลาได้ออกรายการพูดจาภาษาสุนัข ทุกวันอาทิตย์ บางทีกลับอารมณ์ร้าย ด่ากราดเวลาผู้สื่อข่าวถาม เขาเรียกว่าแกล้งเป็นครับ เพราะจริงๆการรับรู้ยังดีอยู่ RIP ไม่เสีย
โรคจิต ยังมีแบ่งเป็นโรคจิตที่เกิดจากการใช้ยาเสพติด, โรคสมองเสื่อม, โรคเพ้อคลั่งอีก ซึ่งอย่างบทความคราวที่แล้วที่ยกตัวอย่างศิลปินที่เพ้อคลั่งเมากัญชามาให้สัมภาษณ์โจมตีพันธมิตร, คนรักอุดร ที่เพ้อคลั่งมาทุบตีผู้ชุมนุม, หรือคนเมาที่ขับรถพกปืน6กระบอก ชนแผงกั้นที่ชุมนุม เป็นต้น
ส่วนคนที่ทำตัวเมากาแฟด่าทอสื่อมวลชน, ไปนั่งปลดทุกข์แล้วเดินออกมาด่าสื่อมวลชน, อยู่หน้าทนหน้าหนาคอรัปชันไปวันๆนั้น อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ถือว่าเป็นพวกแกล้งป่วยทางจิตครับ เป็นพวกใช้กลไกป้องกันทางจิต คือสร้างเรื่องโกหก หาเหตุผลแก้ตัวไปวันๆ(Rationalization) และในทางจิตเวชต้องวินิจฉัยแยกโรคให้ออกด้วยว่าป่วยจริง หรือป่วยปลอม
ส่วนโรคอื่นๆในประเภทโรคจิตนี้ ขอละไว้ครับ จะยาวและเข้าใจยากเกินไป
โรคประสาท (Neurosis) ยกตัวอย่างโรคหนึ่ง ได้แก่ โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD-Obscessive compulsive disorder) ชื่อก็บอกชัดเจนนะครับ คือพวกนี้จะไม่เสีย RIP การรับรู้ความเป็นจริงปกติ และรู้ว่าตนเองป่วย บุคลิกภาพไม่เปลี่ยนแปลงชัดเจน เช่น สมุนทรราชย์ครับ หรือพวกก๊วนโจมตีป๋า ยังพูดคุยรู้เรื่องดีอยู่ (ไม่เสีย Reality) พวกนี้เป็นพวกรับคำสั่งเจ้านายมาแล้วเป็นประสาท ย้ำคิดย้ำทำหาวิธีโจมตีอามาตยาธิปไตย สร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น ทั้งที่รู้ว่าทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์(รู้ว่าตนเองป่วย ทำเรื่องร้ายๆอยู่-ไม่เสีย Insight) และทำเป็นประจำ(บุคลิกภาพไม่เปลี่ยน-ไม่เสีย Personality) แต่ก็ยังจัดเป็นความผิดปกติทางจิต เพราะทำให้เกิดทุกข์ และเสียหายในชีวิตประจำวัน โดนคนก่นด่าประณามทั้งประเทศชาติ ได้รับฉายาว่า นรกป่วนกรุง นี่ยังไม่นับนางดาตอปิโดที่เข้าคุกไปแล้วด้วยครับ จำคุกยาว เพื่อนๆลืมไปประกันตัวเลยทีเดียวครับ
โรคกลัว (Phobia) ก็จัดเป็นโรคประสาท มีการกลัวสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คนเขาไม่กลัวกัน อาทิเช่น นักการเมืองรัฐบาลที่เคยมีชื่อเสียงในอดีต ที่ทุกวันนี้เห็นเพียงประโยชน์และเศษเงิน หรือพวกปลาไหล(ลื่น)เข้าได้ทุกกลุ่มผลประโยชน์ นายทหาร นายตำรวจที่ไม่มีอุดมการณ์ ความคิดเห็นแก่ส่วนตน ชาติล่มจมไม่เป็นไร พวกนี้มักจะกลัวการตอบคำถามสังคม ตอบคำถามสื่อมวลชน ในด้านจริยธรรม กลัวมากจนต้องหนีหางจุกก้นตลอดเวลา จัดเป็นโรคประสาทกลัวสื่อครับ แต่ถ้าอย่างคนที่กลัวความสูง ซึ่งคนทั่วไปนั้นก็กลัวความสูงได้ ไม่ถือว่าผิดปกติ, กลัวความมืด ฯลฯ ไม่เป็นโรคประสาทครับ
โรคความผิดปกติในการปรับตัว (Adjustment disorder) คือ โรคประสาท ชนิดหนึ่ง มีความผิดปกติในการปรับตัว อาทิเช่น ครอบครัวผู้ที่ไปอยู่อังกฤษ แล้วยังปรับตัวไม่ได้ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่มีความสุข บ่นตามคุณพ่อที่บอกทำนองว่า “หากมีวาสนา จะขอกลับมาตายเมืองไทย” ครอบครัวนี้ก็คงเป็นโรคประสาทกันไปเสียเยอะ ไม่แปลกที่บุตรชายจึงมีความวิปริตทางเพศและเสพยาที่อังกฤษไม่เว้นแต่ละวัน เพราะปรับตัวไม่ได้นั่นเองครับ
โรคแพนิค (Panic disorder ) ก็เป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง จะเห็นได้ในพวกนักการเมือง ส.ส. ในสภาที่หวาดกลัว ใจสั่น เหงื่อแตก อึดอัด มึนงง คลื่นไส้ ท้องไส้ปั่นป่วน เป็นพักๆ กังวลตลอดเวลา และกลัวจะเกิดอาการขึ้นมาอีก เพราะว่ากลัวสภาจะถูกยุบ ไม่มีที่ซุกหัวกันอีกแล้วนั่นเอง!!!
ยังมีโรคจิตและโรคประสาทอยู่อีก ที่ไม่ได้กล่าวถึง แต่เพื่อไม่ให้ตึงเครียดจนเกินไป ก็ขอเขียนมาเท่านี้ละกันนะครับ เกือบลืมไป มีโรคกามวิปริตด้วย(Paraphilia) กามวิปริตก็จัดเป็นหัวข้อแยกออกมาจากการแบ่งโรคจิต โรคประสาทนะครับ ยกตัวอย่างกามวิปริต เช่น พวกพึงพอใจทางเพศกับเด็ก, กับสัตว์, กับสิ่งของ, กับศพ กล่าวคือมีความรู้สึกทางเพศกับอะไรที่แปลกๆแหวกแนว ไม่เหมือนคนปกติ ในรายกาหลิบ เพ็ญแข(เจ๊เพ็ญ), เจ๊มิ่ง ถือเป็นความผิดปกติทางเพศแบบ Homosexual รักร่วมเพศ นั่นเองครับ แต่อนาคตอาจจัดว่าการรักร่วมเพศเป็นเรื่องธรรมดาก็ได้ เชิดชูสิทธิ์เพศทางเลือก ยินดีด้วยครับ เจ๊เพ็ญ
ยังไม่นับอดีตผู้นำที่เป็นประเภทชายตัณหาจัด มีภรรยาน้อยมากมาย เขาเรียก Satyriasis ครับ
ทั้งหมดที่เขียนมาถึง 3 ตอนนี้ ก็หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับความรู้ทางจิตเวชเบื้องต้นสำหรับคนทั่วไป เพิ่มมากขึ้น และมองออกว่าการผิดปกติทางจิตนั้น ถือเป็นความเจ็บป่วย ที่พึงสงสารและควรเห็นใจผู้คนเหล่านี้ แต่ถ้าสำหรับพวกนักการเมือง ชนชั้นปกครองที่ชั่วช้าแล้ว ควรจับไปบำบัดเสียให้เข็ด แล้วค่อยปล่อยให้หนีเข้าอังกฤษไปอยู่กับบิดาของพวกท่าน ขออย่าได้กลับมาจองเวรจองกรรมประเทศชาติกันอีกเลย
ประเทศชาติของเราต้องการการเปลี่ยนแปลง และเป็น การเปลี่ยนแปลงโดยประชาชน เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ขอพลังจงมีแก่ผู้อ่านทุกท่านครับ ร่วมกันขจัดมาร และสร้างชาติที่แท้จริง
สุดท้ายนี้ ขอขอบพระคุณ อาจารย์แพทย์ พญ.สมลักษณ์ กาญจนาพงศ์กุล, นพ.อนนท์ บริณายกานนท์, นพ.ปราการ ถมยางกูร อย่างมากครับ ที่ได้สอนสั่งความรู้ทางจิตเวชแก่ข้าพเจ้า และที่สำคัญที่ขอแอบเล่า คือ บรรดาอาจารย์แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ภาคจิตเวช โรงพยาบาลราชวิถีแห่งนี้ ไปร่วมชุมนุมพันธมิตรกันตลอด เลยล่ะครับ•
หมายเหตุ ถาม-ตอบปัญหา ได้ที่ http://bloggla.com หรือ อีเมล์ chanesd@gtmail.com ครับ
อ่าน นักการเมืองโรคจิต ตอน 1 ได้ ที่ http://www.bloggla.com/?p=76
อ่าน นักการเมืองโรคจิต ตอน 2 ได้ ที่ http://www.bloggla.com/?p=73
Pichet
ดีๆ ได้ความรู้เยอะดี ไม่น่าเชื่อว่านักการเมืองบางคนจะเป็นตัวอย่างที่ดี(?) สำหรับโรคจิตโรคประสาท
PiiE
ยิ่งอ่าน ยิ่งเขียนดี
ได้ความรู้มากมาย พร้อมตัวอย่างที่เห็นภาพ ชัดเจน
cool !! =]
นักการเมืองโรคจิต « Bloggla : Chanesd Srisukho
[…] นักการเมืองโรคจิต ตอน 3 ได้ ที่ http://www.bloggla.com/?p=68 Share this: […]