ปัจฉิมบท มหาวิทยาลัย
บทความนี้ ลงในวารสาร Demo-crazy.com เล่ม 21 เดือน กันยายน-ตุลาคม 2553
(1)
ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเป็นวิทยากรบรรยายร่วมกับท่านอาจารย์ นพ.มโน เมตตานันโท เลาหวณิช อดีตแพทย์ผู้บุกเบิกชมรมพุทธจุฬาฯ ผู้รู้แจ้งเรื่องธรรมกายและขัดแย้งกับผู้บริหารจนถอยตัวออกมา ผู้เรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกถึงสามแห่ง ผู้เป็นอดีตตัวเต็งรัฐมนตรีในอดีต ฯลฯ นอกจากผมจะไปพูดมากเรื่องตนเองแล้ว นับเป็นโอกาส ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้ใหญ่หลายๆท่าน เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ายิ่ง…
การได้ไปบรรยายร่วมครั้งนี้ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เชิญไปพูดเรื่อง “มหาวิทยาลัย …มาหาอะไร”
ผมเองเป็นนักศึกษาแพทย์ปี6 ที่ใกล้จะจบเป็นแพทย์เต็มที มานั่งรำลึกความหลังในเวลาที่ผ่านมา 6 ปี
ไม่ได้เป็นเวลาที่รวดเร็วเหมือนที่ใครๆพูดกัน…
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ มาก มีเรื่องราว รายละเอียดมากมายในแต่ละช่วงการศึกษา หลายการกระทำเรารู้สึกภูมิใจในการกระทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม นึกถึงอาจารย์หลายท่านต้นแบบการต่อสู้เพื่อนักศึกษาแพทย์ รวมถึงบางท่านที่ล่วงลับไปแล้ว (อดีตคณบดี พญ.บุญเชียร ปานเสถียรกุล) แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งด้านคุณภาพการศึกษา หลักสูตร ทรัพยากรการศึกษาที่เพิ่มมากขึ้น เป็นประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง (รายละเอียดคงต้องหาอ่านตามข่าวเก่าๆนักศึกษาแพทย์รังสิต 2549-2552 หรือเรื่องการผลักดัน การพัฒนา การชุมนุมต่างๆ)
คลิกภาค1 คลิกภาค2
การศึกษาระดับมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยเอกชน ได้ให้บทเรียนที่มีค่ายิ่ง…
ทำให้เห็นธรรม และค้นพบความจริงหลายสิ่งหลายอย่าง
หนึ่งในความจริงที่อยากจะบอกกล่าวแก่นักศึกษารุ่นหลัง ก็คือ เรื่อง “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” การรวมพลังของนักศึกษาเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกยุคสมัย สร้างสายสัมพันธ์ ร่วมกันทำกิจกรรมพัฒนาตนเองและสังคมที่ตนเองอยู่ ด้านวิชาการ ติวหนังสือกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันทั้งด้านการเรียน การสอบ ด้านกิจกรรม ทำประโยชน์ให้เพื่อนพี่น้อง ด้านชีวิตส่วนตัวต่างๆ
เราคงไม่สามารถหวังพึ่งผู้ใหญ่ หรือผู้มีอายุมากกว่า จะมาช่วยเหลือเราได้ทุกเรื่อง ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆและง่ายดาย ต้องออกแรงเอง เหนื่อยกันเองทั้งนั้น… คือการเติบโต
ในส่วนของนักศึกษาแพทย์ การเรียนแพทย์โดยยึดพระราชดำรัสสมเด็จพระราชบิดา “แพทย์ที่ดีจะไม่รวย…” แต่ข้อเท็จจริงที่ผมเจอ”แพทย์ที่ดีจะไม่รวย แต่ เจ้าของมหาวิทยาลัย…รวย”
มหาวิทยาลัยเอกชน เป็นที่ที่จะเห็นได้ชัดถึงระบบบริหารแบบทุนนิยม และ ธุรกิจการศึกษา ในหลายคณะที่มีการพัฒนาคุณภาพดีนั้นเป็นเรื่องน่ายินดีและภาคภูมิใจ แต่ในบางคณะที่ไม่เน้นพัฒนาคุณภาพ เน้นเรื่องรายได้ คงเป็นเรื่องที่นักศึกษาต้องขวนขวาย สามัคคี เพราะเราอยู่ในที่ที่มีปัญหา เราจึงมีแรงร่วมมือผลักดันที่จะสร้างสรรสิ่งต่างๆให้ดียิ่งขึ้น
เรื่องนี้เป็นประเด็นค้างคาใจของผมตลอด6ปี เป็นความรักในคณะ ในมหาวิทยาลัย อยากให้สิ่งต่างๆดีขึ้น คณบดีมากกว่า2ท่านบอกว่า ผมได้เปลี่ยนแปลงอะไรให้ดีขึ้นมาก ทำให้ผู้ใหญ่หลายฝั่งรักกันได้ ทำให้หลายๆสิ่งหลายอย่างดีขึ้น แต่ผมต้องผ่านความเป็นความตาย การเจรจากับคนเป็นร้อย อุปสรรค ความเสี่ยงถึงชีวิตก็มาก และก็เป็นเรื่องที่คงไม่ค่อยได้เล่าต่อสักเท่าไร
เวลาผ่านไป สิ่งที่มหาวิทยาลัยโฆษณาว่าได้สร้างให้น้องๆนั้น เบื้องหลังคือหยาดเหงื่อและหยดเลือดที่ พี่ๆ และคณาจารย์ในอดีต คำพูดสวยหรูในการประชาสัมพันธ์ กับความเป็นจริง ช่างต่างกัน และสุดท้ายทุกคนก็จะลืมเลือนความจริงไป…
แต่ช่างมันประไร สิ่งที่น้องจะต้องเรียนรู้ คือ เมื่อนักศึกษาแก่ๆ(อย่างผม)จบไป นักศึกษารุ่นใหม่ จะเป็นผู้สร้างตำนาน และสร้างยุคของตนเอง ขอให้กำลังใจน้องๆ ให้พยายามสร้างสังคมที่ดี เพื่อตัวน้องๆเอง อยู่อย่างมีความสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลและแก้ไขปัญหาต่างๆได้เอง นักศึกษาแก่ๆต่อไปคงได้แต่ให้กำลังใจและการสนับสนุนเบื้องหลัง
และรอวันที่ผู้ใหญ่จะจากไป พวกเราจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดียิ่งกว่าให้จงได้…
(2)
สิ่งที่ได้พูดไปในตอน (1) นั้น เมื่อผมเรียนจบเป็นแพทย์แล้ว เรื่องราวคงจางไปตามกาลเวลา เราคงเริ่มชีวิตใหม่ในฐานะแพทย์ที่จะสร้างคุณประโยชน์ให้แก่สังคม
มีคนเคยกรุณา สรรเสริญผมในเน็ต Thaiclinic.com ว่า ผมหลงตัวเอง…
ทุกวันนี้ อายุยี่สิบสามปีกว่าๆ ผมได้สัจธรรมแห่งชีวิต ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้นั้น สิ่งแรกที่ต้องเปลี่ยนให้ได้ตลอดเวลา คือ ตัวเอง
การพัฒนาคุณลักษณะภายในของผมเอง เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะการพัฒนาคุณลักษณะภายนอกกายต่างๆ ไม่ยั่งยืน พวกเรานักศึกษา สามารถต่อสู้จนมีการเปลี่ยนแปลง ได้อาคาร สถานที่เพื่อการศึกษามากขึ้น… แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนนักธุรกิจการศึกษา ให้เลิกโหยหาทุน หรือให้กลับมาสนใจพัฒนาอย่างจริงจังได้
พวกเรานักศึกษา สามารถต่อสู้จนมีการเปลี่ยนแปลง ร่างพัฒนาหลักสูตรการศึกษาใหม่… แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนอาจารย์ที่สอนไม่ถูกใจ ให้สอนดีขึ้นมาได้
พวกเรานักศึกษา สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมนักศึกษาของเราให้ดีขึ้นได้… แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนให้สังคมผู้ใหญ่คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตนได้
พวกเรานักศึกษา ทุกวันนี้ทำกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัยได้เป็นอย่างดี มีคุณภาพระดับประเทศ… แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนสังคมให้เลิกมองเราในแง่ร้ายได้ ไม่สามารถเปลี่ยนผู้ใหญ่บางส่วนที่โจมตีเราเพียงเพราะเกลียด ดร.อาทิตย์ ให้ตั้งสติ มามองการกระทำที่ดีของเราบ้าง ได้
หรือ ผมเองทำผลงานวิชาการ โครงการ กิจกรรมต่างๆมากมาย แต่เมื่อสมัครทุนเกียรติยศใหญ่ ไม่สามารถทำให้กรรมการพิจารณารอบสุดท้าย เลิกมองภาพความเป็นนักกิจกรรมหัวก้าวหน้าเกิน หรือภาพที่สนใจด้านการเมือง สังคมมากกว่าคนรุ่นเดียวกัน ไปได้ เลิกมองความแตกต่างด้านชื่อเสียงคณะได้ และนั่นทำให้ผมพลาดทุนใหญ่
…เสียใจไปพัก แล้วเห็นจุดด้อยจุดพัฒนาของตนเองมากขึ้น เป็นเรื่องดีมากมาก ทิ้งทิฐิในย่อหน้าก่อนไปเสียสิ้น
ผมอยากเป็นหมอที่ทิฐิไม่สูง… และถือว่าคนทุกคนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
พวกเรานักศึกษา สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริงหรือ? สิ่งสำคัญสุดว่าการมาเรียนมหาวิทยาลัย “มาหาอะไร” คือมาหาความจริง มาหาความจริงเพื่อพัฒนาตนเอง
หากมาเรียนเพราะขาดความรู้ ก็ควรเรียนแบบขวนขวายหาความรู้ จะรออาจารย์มาป้อนคงไม่ทันกิน…
หากมาเรียนเพราะไม่มีเป้าหมาย ก็ควรหาเป้าหมายให้ได้ระหว่างเรียน ยังผลไปยังการวางแผนอนาคต…
หากมาเรียนเพื่อพ่อแม่ ก็ควรเรียนเพื่อตอบแทนคุณพ่อแม่ ตั้งใจเรียนให้คุ้มค่าเงินที่ท่านเสีย และทำตัวดีไม่ให้ใครมาด่าพ่อล่อแม่เราได้…
หากมาเรียนเพราะหวัง ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ควรเรียนโดยหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นให้มาก จนเมื่อจบไปแล้วได้ความจริงว่า สิ่งทั้งหลายนั้น ไม่จีรัง และไม่ได้เป็นแก่นสารของชีวิต…
หากมาเรียนเพราะหวังอาชีพ การงานที่ดี เงินที่ดี เมื่อจบไปต้องได้รู้ว่า เมื่อมีความสมบูรณ์ในชีวิตมากแล้ว ควรแบ่งปันเพื่อนมนุษย์ผู้ยากไร้บ้าง
มุ่งสู่การเปลี่ยนแปลง “ภายใน” ตนเอง…
ผมเอง ได้เห็นจิตใจตนเอง ความบ้า หลง เขลา ที่เกิดขึ้น และเรียนรู้ที่จะออกจากมันได้ ความทุกข์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ยิ่งแก่ลง ทิฐิที่มีมักจะมากขึ้น ต้องพยายามลดละความเป็นตัวตน ฟังคนอื่นให้มาก ยอมรับข้อผิดพลาด ขอโทษ และสำนึก ตอบแทนบุญคุณผู้อื่น(ในด้านดี)ให้เป็น
สิ่งหนึ่งที่เข้มแข็งเรื่อยๆ คืออุดมการณ์ในการมีชีวิตที่มีคุณค่าสำหรับตนเอง คือการได้ใช้ชีวิตเพื่อสร้างประโยชน์แก่สังคม ตอบแทนแผ่นดินที่อยู่ และเมื่อถึงวันจากลาจากโลกนี้ สามารถหลับตาลงและมีความสุขกับทุกสิ่งที่ได้ทำ ไม่ติดค้างอะไรอีก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็ยิ่งขอขอบคุณคนที่บอกว่าเราหลงตัวเอง เพราะทำให้เราได้ตระหนักและลดความหลงตัวเองลงทุกวัน ทุกวัน ความภาคภูมิใจที่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างในมหาวิทยาลัยก็มลายหายไปสิ้น เหลือแต่เจตจำนงค์ในการพัฒนาตนเอง การพัฒนาและสร้างเสริมคุณค่าภายในตัวเราเอง คือ สิ่งสำคัญที่สุด
ขอมุ่งมั่นเข้าใจตัวเอง และพัฒนาตัวเอง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามหาวิทยาลัย จวบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
dao
อ่านแล้วชอบบทความของน้องกล้ามากอ่ะ
นี่ คือ สิ่งที่เขียนจากคนอายุ 23 ปีหรอ
น้องคงเจริญในธรรม…มากแล้ว ^^
พี่ก็จะพัฒนาตนเองเช่นกัน
Niratorn
ประเสริฐ ประเสริฐ
พี่กล้าคงผ่านร้อนผ่านหนาว ขัดเกลาตัวเองมาเยอะ
กว่าจะมาถึงจุดนี้
🙂
แต่ชีวิตยังมีทางเดินต่อไป..
เกน
My Homepage
… [Trackback]…
[…] Read More here: bloggla.com/?p=594 […]…