กุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก
บทความนี้ตีพิมพ์ลงวารสาร Demo-crazy ปฏิวัติความคิด ติดอาวุธปัญญา ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2553
ชเนษฎ์ ศรีสุโข chanesd@gmail.com
(1)
เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนแห่งความรัก…
มีสำนวนภาษาอังกฤษบอกว่า ความรักเป็นอาการเจ็บป่วยทางใจแบบหนึ่ง
เวลาคนรักใคร่กัน โดยเฉพาะความสัมพันธ์วัยหนุ่มสาว โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพู หวานแหวว ความรักทำให้ยิ้มหน้าบานได้ทั้งวัน เคลิ้มสุขมากกว่าปกติ หรือทำให้คนทุกข์ เศร้าเสียใจ ทรมานได้มากทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคร้ายทางกายใดใด นี่กระมังเลยเป็นที่มาของสำนวนข้างต้น (ตอนหลังก็มีงานวิจัยในตะวันตกบางชิ้นพยายามบอกว่าความรักอาจเป็นโรคจริงๆ จากการใช้เครื่องคลื่นสนามแม่เหล็กตรวจสมองพบการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างในสมองมากกว่าคนปกติ และมีลักษณะคล้ายคนเป็นโรคประสาทแบบหนึ่ง)
ผู้เขียนเองยังอยู่ในช่วงเยาวชนคนรุ่นใหม่ ได้พบเห็นความรักของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งหากเมื่อเทียบกับสมัยคุณพ่อคุณแม่ของพวกเราแล้ว คงมีลักษณะเปลี่ยนไปอย่างมาก ท่านเล่าว่าคนหนุ่มสาวสมัยก่อนนิยมใช้วิธีเขียนจดหมายถึงกัน สมัยนี้เมื่ออารยธรรมโทรศัพท์มือถือเข้ามา คนก็โทรศัพท์ ส่งเอสเอ็มเอส หรือใช้เทคโนโลยีทันสมัย เช่นพูดคุยผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เขียนจดหมายเกี้ยวพาราสี และเมื่อความเป็นเมืองมากขึ้นกว่าสมัยก่อน หนุ่มสาวสมัยนี้มีที่ท่องเที่ยวตามห้างสรรพสินค้า การชมภาพยนตร์ หรือไปสวนสนุก ไปเดิน-เที่ยวกลางคืน ไปในที่ไกลๆและใกล้ๆ ได้มากขึ้น ด้วยระบบคมนาคมขนส่งที่ทันสมัยขึ้น
เรื่องกระแสวัตถุนิยม และทุนนิยม ที่หลากไหลเข้ามาในประเทศไทย ก็คงได้เปลี่ยนลักษณะความรักไปมากทีเดียว คู่รักอาจเสียค่าใช้จ่ายในการคบกันมากขึ้น ค่าอาหาร ค่าเที่ยว ค่าช็อปปิ้ง ฯลฯ ทีนี้ แม้ว่าจะมีหลายเรื่องที่เปลี่ยนไป แต่ความรักใคร่ในหนุ่มสาวที่อยู่ในขอบเขตที่ดี รักกันด้วยความคิด เป็นแรงบันดาลใจให้ขยัน ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ประกอบสัมมาอาชีพ รู้หน้าที่ของตน สร้างประโยชน์ และมุ่งสู่อนาคตที่ดีร่วมกัน ก็ยังเป็นสิ่งที่ดีของทุกยุคทุกสมัย และเป็นสิ่งที่หลายคู่รักควรแสวงหา
(2)
ในสมัยอดีตมีหนุ่มสาวปัญญาชนหลายคู่ที่รักกันด้วยอุดมการณ์ทางสังคม การเมือง การอยากเปลี่ยนแปลงประเทศชาติให้ดีขึ้น ปัจจุบันถ้ามีหนุ่มสาวรักกันด้วยอุดมการณ์อยากเป็นคนดี ทำประโยชน์ให้สังคม มากกว่ามองที่เรื่องภายนอก หน้าตา การแต่งหน้า การแต่งกาย อันเหี่ยวหดตามกาลเวลา น่าจะทำให้สังคมเจริญขึ้นไม่น้อย และหากชวนกันสนใจพุทธธรรม หรือเรื่องการทำนุบำรุงจิตใจ อันเป็นสิ่งใกล้ตัวบ้าง น่าจะไม่เกิดปัญหาคลิปหลุดน้องๆผู้หญิงตบตีแย่งเพื่อนผู้ชาย หรือแย่งเพื่อนผู้หญิง ให้ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่สลด กันอย่างทุกวันนี้ (ครูบาอาจารย์ของผมส.ว.หลายท่าน(ส.ว. = สูงวัย) กุมหัวกันไม่หาย บอกสมัยก่อนไม่มีแบบนี้)
ความรักที่เหนือกว่าเรื่องภายนอก น่าจะมีอยู่มาก การมองหาคุณค่าภายใน โดยเฉพาะการเริ่มต้นความรักในสถาบันครอบครัวอันเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตน้อยๆชีวิตหนึ่งให้เติบใหญ่ พ่อแม่ที่รักลูก ปลูกฝังสิ่งดีงามให้ลูกโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ปลูกฝังให้ลูกรู้หน้าที่ของการเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม เป็นประชากรที่มีคุณภาพ หาใช่การมีลูกเพื่อสืบสร้างทายาทอสูร และกอบโกยผลประโยชน์เข้าตระกูลเพียงอย่างเดียว หรือการมีลูกโดยพ่อแม่ไม่พร้อม อันจะเกิดปัญหาต่างๆตามมาอีกมาก ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนในการเมืองไทยตอนนี้ เกี่ยวเนื่องกับเรื่องความวุ่นวาย การขาดซึ่งความรัก โดยเฉพาะจากกลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อพลิกการตัดสินคดีใหญ่ ผมฟังหลายฝ่ายชี้แจง โดยเฉพาะนักวิชาการอิสระ คุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พิจารณาความอย่างเป็นกลาง ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องความรัก มีอยู่สองประการ
1.ลูกๆของผู้ถูกตัดสินคดี ลูกๆของท่านอาจไม่ได้มีความรู้ลึกซึ้งเรื่องหุ้นหรือการโยกย้ายถ่ายเทแบบผิดกฎหมายเท่าที่มีผู้ใหญ่บางท่านจัดแจงให้เพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง ทั้งนี้การที่พ่อแม่ไม่ได้ตักเตือนหรือห้ามปราม หรือมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ก็คงกลายเป็นกรณีพ่อแม่รังแกฉัน ความรักที่เริ่มจากสถาบันครอบครัวที่พ่อแม่รักไม่ถูกทาง หรือรักด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เน้นสิ่งภายนอกตัว ลูกจึงเติบโตมาด้วยจิตใจลึกๆที่โหยหาความรักและคุณค่าภายใน เมื่อหาไม่ได้ สะท้อนออกในการติดวัตถุนิยมมากขึ้น ออกงานสังคมมาก เข้าหาดาราอันเป็นวงการวิบัติมายาก็มาก อาการขาดความอบอุ่นเป็นมากก็เข้าหายาเสพติด การมีเงินล้นฟ้า ไม่ได้ทำให้ชีวิตของลูกๆคนรวยหลายท่าน มีความสุขเท่าลูกคนรับจ้างทำงานหาเช้ากินค่ำ ที่ไม่เล่นหวย และสอนให้ลูกพึ่งพาธรรม อนึ่ง พระท่านบอกว่าธรรมคุ้มครองโลก คือ หิริ โอตตัปปะ หากพ่อแม่สอนให้ลูกเกิดการเกรงกลัวที่จะกระทำผิด กลัวการละเมิดกฎหมาย เกรงกลัวที่จะคอรัปชัน โกงคนอื่น เบียดเบียนคนอื่น ตลอดจนรู้จักแบ่งปันและใส่ใจประโยชน์ของส่วนรวม รักประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักคนในสังคมมากขึ้น ผมเชื่อว่าท้ายสุด ลูกของพวกเขาจะกลายเป็นคนที่ผู้อื่นรัก และเข้าหาด้วยความจริงใจ อยากช่วยเหลือ มีความสุขและคุณค่าในการดำรงชีวิตที่มากขึ้น
2.กลุ่มคนที่เคลื่อนไหวในสิ่งที่เชื่อ โดยใช้ความรุนแรง แสวงหาหนทางออกที่ได้มาด้วยสงคราม แลกเลือดเนื้อ ทำลายล้างผู้อื่นด้วยอาวุธ หลายปีมานี้ คนไทยเห็นเลือด เห็นการสูญเสีย การบาดเจ็บพิการ การลอบสังหาร การยิงแก็สน้ำตา การยิงM79 การฆ่าประชาชน การปาระเบิด การเผารถเมล์ บุกเผาบ้านเมือง สถานที่สำคัญถูกบุกรุกและก่อความวุ่นวาย ทำลายประเทศต่อหน้าชาวโลก โดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นอย่างไร เหล่านี้ ผู้ที่กระทำได้ขาดความรักในสิ่งมีชีวิตหรือเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกอื่นๆไป
สิ่งที่ประเสริฐที่สุดเกี่ยวกับความรัก คือการรักตนเองและการรักผู้อื่น การรักตนเอง หมายถึง การรักในการกระทำดีของตนเอง เรียนรู้ตนเอง เข้าใจตนเอง การไม่เบียดเบียนผู้อื่น และตอบแทนสังคมในสถานะสมาชิกคนหนึ่งเท่าที่หน้าที่จะเป็นได้ เพื่อเกิดคุณค่าในการดำรงชีวิต การรู้หน้าที่การเป็นประชาชนคนไทย คือการรู้รักษาความดีต่อสถาบันต่างๆทางสังคม ตั้งแต่ระดับ ครอบครัว ชุมชน สังคมขนาดย่อย หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด การร่วมกันดูแลรักษาสังคม จัดเป็นการแสดงความรักที่เหนือกว่าการรักตนเอง ดังที่กล่าวไว้ ว่าเป็น การรักผู้อื่น เพราะหากเราไม่รักผู้อื่น ไม่รักสังคมส่วนรวมเลย ปล่อยให้คุณภาพสังคมตกต่ำ ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายก็กลับวางเฉย ไม่สนใจ ต่อไปเมื่อประเทศชาติสังคมล่มสลาย เราและครอบครัว คนใกล้ชิดก็ย่อมได้รับผลตอบแทนจากกรรมที่เราทำไว้ สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเรื่อง การผลักดันคนดีให้ขึ้นบริหาร และไม่ให้คนชั่วได้มีอำนาจ รวมทั้งพระราชดำรัสมากมาย น่าจะเป็นอีกทางออกหนึ่งของความรักที่เราแสดงต่อพ่อหลวงได้ด้วยการกระทำ การปฏิบัติตามพระราชดำรัสที่มุ่งหวังให้ประชาชนและส่วนรวมเป็นสุข การรู้หน้าที่ของตน และมีสติรู้ตัว ปัญญารู้คิด น่าจะทำให้ประเทศชาติพ้นภัยได้
กุมภาพันธ์นี้ หากผู้ใดได้อ่านบทความนี้จึงอยากเชิญชวนให้ 1.รักตนเอง โดยการเข้าใจและเสริมสร้างความแข็งแรงทางจิตวิญญาณ หลังจากนั้น 2.รักผู้อื่นในสังคม รักโดยสติ รักโดยปัญญา คิดถึงอนาคตอันดี การเอาใจใส่บุคคลผู้อื่นในสังคม รักและรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม จะให้ทำสังคมน่าอยู่มากขึ้น