ฝันถึงมหิดลวิทย์
ได้รับเกียรติตีพิมพ์ลง INN News ครับ http://www.innnews.co.th/Powerofyouth.php?nid=198975
และประชาสัมพันธ์ที่ http://www.innnews.co.th/market.php?nid=198208
ชเนษฎ์ ศรีสุโข Ginfreeces@hotmail.com
มหิดลวิทย์ เป็นชื่อเรียกสั้นๆ ของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โรงเรียนวิทยาศาสตร์ โรงเรียนมัธยมปลาย โรงเรียนประจำ ที่ผมเคยศึกษาอยู่หากย้อนไปเพียงแค่ไม่ถึงสิบปีก่อน ชื่อนี้คงไม่ค่อยมีใครรู้จัก เปรียบเทียบกับปัจจุบันที่ นักเรียนต่างแย่งแข่งขันกันสุดฤทธิ์สุดเดช เข้าโรงเรียนมหิดลวิทย์ ธุรกิจกวดวิชาทั่วประเทศเจริญเรืองรุ่ง แข่งขันกันโฆษณาเรียก(ผู้ปกครอง)นักเรียนให้เสียสตางค์กันเป็นจำนวนมาก อวดอ้างสรรพคุณอย่างน่าสนใจว่ามีอาจารย์ในโรงเรียน ศิษย์เก่ามาช่วยสอนให้ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการสอบเข้า ท่ามกลางความเป็นจริงว่าโรงเรียนไม่เคยมีประวัติข้อสอบเข้า รั่วไหล และไม่เคยมีใครเก็งข้อสอบได้ถูก ที่เป็นเช่นนั้น ก็ด้วยความมหัศจรรย์พันลึกลับ และยากยิ่งเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะทำได้ นั่นเอง
ทั้งนี้เป็นปณิธาณ ของคณาจารย์และผู้ก่อตั้งที่อยากจะคัดสรรหานักเรียนมีความสามารถ อัจฉริยะ ระดับโลก รวมทั้งสุขภาพจิตดี จากทั่วประเทศให้ได้ ผมเคยมีโอกาสได้พูดคุย ฟังผู้ยิ่งใหญ่เล่าถึงการแสวงหา กระจายโอกาสไปถึงริมขอบประเทศ เพื่อให้ได้ชนชั้นหัวกะทิ เข้ามาเรียนในโรงเรียนเฉพาะทางสำหรับพวกมีความสามารถพิเศษ(ที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน)
ดังว่าไป สมัยเรียนในโรงเรียนนี้ จึงมีความหลากหลายทางพันธุศาสตร์สูง เพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ จากทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ได้เข้ามาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เรียนจบมาเลยได้ภาษาท้องถิ่นของอีกหลายภาคมาด้วย นี่ยังไม่นับโครงการของโรงเรียนที่อยากให้นักเรียนทุกคนรู้ภาษาที่สาม เลือกเรียนภาษาจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เยอรมัน เพื่อความเป็นระดับโลก เยี่ยม
มหิดลวิทย์ ทุกวันนี้สร้างผลงานชื่อเสียงโอลิมปิกวิชาการ การสอบเข้ามหาวิทยาลัย และอื่นๆอีกมากมาย แต่น้อยคนนักที่เห็นเพียงความสำเร็จ จะเข้าใจถึงความลำบากยากเย็นในการเรียนหนังสือสำหรับคนเหล่านี้นอกเหนือจากด้านวิชาการ
การเรียนในโรงเรียนสมัยผม ต้องตื่นแต่เช้าทุกวันออกกำลังกายเต้นแอโรบิคทุกเช้าเพื่อให้จำนวนชั่วโมงครบตามกำหนดโรงเรียน ไม่งั้นจะเรียนไม่จบ ยังไม่นับการออกกำลังกายในชมรมต่างๆ และการวิ่งเพื่อสุขภาพจัดขึ้นบ่อยครั้ง เพื่อล่าให้ได้ 240 ชั่วโมงการออกกำลังกาย การศึกษาดูงานจำนวนมากที่ต้องให้ให้ครบกำหนด เช่น ดูงานด้านวิทย์ ด้านสังคม ด้านภาษา ศาสนา วัฒนธรรม โบราณคดี ดาราศาสตร์ ฯลฯ ฟังบรรยายให้ครบอีกไม่รู้กี่ด้าน อ่านหนังสือให้ได้ 50 เล่ม เข้าค่ายปฏิบัติธรรม ค่ายวิชาการ เข้าชุมนุมชมรมต่างๆ วันเสาร์อาทิตย์ก็ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา และร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ว่ามาทั้งหลาย
โรงเรียนอยากผลิตคน ให้เป็นยอดคน ที่ทนทรหดกับทุกสถานการณ์ นอกจากสมองจะดีแล้ว ยังต้องมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ที่เขียนในรายงานผลการจบการศึกษาทั้งสิบข้อ เช่น ความขยัน หมั่นเพียร ความสามารถในการเรียนรู้ ความรับผิดชอบ ความสามารถในการตัดสินใจ ฯลฯ อุบ๊ะ! แม่เจ้า คนจึงว่ากันว่า คนจบจากโรงเรียนนี้ได้ข้อสิบเอ็ดด้วย คือ “ไม่ค่อยเต็ม” กันทั้งนั้น ที่แท้ก็ด้วยกระบวนการโรงงานมหิดลวิทย์ ใส่วัตถุดิบใส่ ออกแม่พิมพ์มาเป็น ยอดมนุษย์ กันเช่นนี้นี่เอง สุดยอด
สมัยเรียนมหิดลวิทย์ ผมก็แค่เด็กคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ผมคบแต่ผู้ชายแม้ผมจะไม่ใช่เกย์ เป็นวัยที่ค้นคว้าหาตัวตนที่แท้จริง ไม่ใช่เรื่องเพศ แต่เป็นเรื่องความคิด ครุ่นคิดอย่างมาก ว่าเราเกิดมาทำไม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมต้องมีชีวิตอยู่ไปวันวัน สมัยมัธยมปลาย อาจารย์(ดีกรี ดร. จบนอก เกียรตินิยม) หลายท่านก็ไม่เข้าใจผม หาว่าผมเกเร พูดไม่รู้เรื่อง หรือแม้กระทั่งหาว่าผมสติปัญญาไม่ดี ผมเคยสอบได้แม้กระทั่งที่สุดท้ายของโรงเรียนในบางวิชา ท่ามกลางการก่นด่าว่าของอาจารย์ ผู้ปกครองก็ตกใจ จากเด็กมือรางวัลห้องคิงโรงเรียนนครสวรรค์ กลายเป็นเด็กต็อกต๋อยเป็นง่อยไม่รู้เรื่องไปได้อย่างไร
ความที่มัวขี้เกียจเรียน นั่งเล่น นอนเล่น ค้นหาตัวเองในโรงเรียนประจำที่กฎระเบียบสูง สังคมที่ดี ไม่มีมั่วเซ็กซ์ ปาร์ตี้ยาเสพติด การเรียนรู้ค้นหาอุดมการณ์ของตนเอง จึงกลายเป็นประเด็นใหญ่ที่สุด และเป็นส่วนผลักดันชีวิตที่เหลือ ให้เรียนรู้ว่า เราเกิดมาส่วนหนึ่ง แม้ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม แต่ควรทำอะไรดีดีให้สังคม ให้ประเทศชาติบ้าง
โรงเรียนมหิดลวิทย์ ตั้งขึ้นมา หลายคนเข้าใจว่าตั้งมาแข่งกับโรงเรียนชื่อดังอื่นๆ เรื่องจริงก็คือด้วยทุนการสนับสนุนจากรัฐบาลมหาศาลต่อปี และพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าฯ โรงเรียนปลูกฝังอุดมการณ์ตลอดเวลา ทุกเช้าหน้าเสาธง ดร.ธงชัย ชิวปรีชา ผอ.โรงเรียนในสมัยผม จะสอนสั่งอุดมการณ์และยังมีบรรยายตามวาระสำคัญอีกบ่อยครั้ง อัดแน่นเต็มเปี่ยม บางคนเรียกการสะกดจิต กระบวนการเหล่านี้ทำให้พวกเราตระหนักในอุดมการณ์ การพัฒนาประเทศทุกวิถีทาง เพื่อให้คุ้มกับทุน 44,000 บาท/ปี ที่รัฐบาลมอบให้ (ส่วนเหลือมาถึงนักเรียน คุณพ่อผมบริจาคคืนหมดให้แก่โรงเรียน ผมมองดูเพื่อนๆเอาไปช็อปปิ้งน้ำตาไหล)
การพัฒนาประเทศ สำคัญ คือการพัฒนาองค์ความรู้ขึ้นมาเอง จึงเป็นเรื่องที่คนถามกันว่า ทำไมนักเรียนโรงเรียนนี้ชอบการวิจัย ชอบวิทยาศาสตร์ ในขณะหลายคนบ่นว่า วิจัยไปทำไม เรียนเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็วิจัยฝุ่น ไส้แห้ง ไม่มีอะไรรับประทาน ผมเองไม่ได้เป็นนักวิทย์โดยตรง ก็บอกได้ว่า ในประเทศที่เจริญแล้ว นักวิทยาศาสตร์นักวิจัยเป็นอาชีพที่มีเกียรติสูง สร้างองค์ความรู้ สร้างภูมิปัญญา ให้สังคมของเขาเป็นผู้ผลิต เราจะสังเกตได้ว่าทุกวันนี้เราต้องใช้มือถือ คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆในบ้าน ที่ล้วนผลิตโดยต่างชาติทั้งสิ้น เสียเงินไหลออกนอกประเทศจำนวนมาก เพียงเพราะค่า “ปัญญา” ที่เราไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้
มีรัฐบาลหลายสมัย ที่สอนให้คนเข้าใจผิดว่า เรามีเงินมากมาย มีเงินเท่าไรก็ซื้อเครื่องมือวิทยาศาสตร์มาใช้ได้ นับเป็นความฉลาดน้อยโดยแท้ วิสัยทัศน์ในการจ้องบริโภคโดยไม่เน้นการพัฒนาประเทศทั้งด้านการศึกษา วิทย์และเทคโนโลยี จึงทำให้บ้านเมืองเราไม่เจริญสักที หากย้อนไปรุ่นคุณพ่อคุณแม่เราเด็กๆ คงไม่มีใครเชื่อว่าประเทศเกาหลีจะกลายเป็นมหาอำนาจเทคโนโลยีของโลก ที่ผลิตมือถือ โทรทัศน์ ตู้เย็น รถยนตร์ ฯลฯ ดูดเงินจากทั่วโลกได้จนถึงทุกวันนี้ ในขณะประเทศด้อยพัฒนายังโดนหลอกให้เป็นสังคมเกษตรกรรม ซึ่งยากจน ข้นแค้น และการเป็นลูกจ้างบริษัทต่างชาติที่เข้ามาสูบเลือดสูบเนื้อ
การสร้าง องค์ความรู้ สร้างปัญญา สร้างสิทธิบัตร จึงเป็นเรื่องที่เราเรียนรู้ และคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ ที่ทำอย่างไรให้ประเทศของเรา พึ่งพาตนเองได้ ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัวด้วย ไม่ใช่อยู่ได้เพราะต้องพึ่งต่างประเทศ หวังให้จีดีพีโตโดยไม่คิดจะสร้างอะไรขึ้นมาเอง ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ฟังดูดีของนักการเมือง แต่พิสูจน์แล้วว่าประเทศยังไม่พัฒนา
ที่เขียนมายืดยาวพอประมาณ ก็เพียงอยากจะบอกว่าผมเอง ศิษย์เก่าคนหนึ่งที่ยังมีกิจกรรมร่วมกับโรงเรียนโดยตลอด ได้ฝันถึงโรงเรียนหลายครั้ง และทุกครั้งที่ฝัน น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความตื้นตัน ที่เรียนจบมาได้ จริงๆแล้วไม่ใช่เช่นนั้น แต่ตื้นตันที่ยังรับรู้ รับรู้ว่าเรามีชีวิต แม้ไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องทำก่อนตายเลยจริงๆก็คือ ทำตามอุดมการณ์มหิดลวิทย์ ทดแทนบุญคุณแผ่นดิน
หมายเหตุที่เขียนมาทั้งหลายนี้ ต้องย้ำให้ชัดว่า ไม่ได้โฆษณาอวดอ้างสรรพคุณ หรืออยากบอกว่านักเรียนโรงเรียนนี้เก่งกล้าสามารถกว่าทุกที่ในประเทศ เพราะความภาคภูมิใจในมหิดลวิทย์ จะไร้ค่าไปเสียสิ้น ถ้าคนพิสดารที่จบจากโรงเรียนนี้ ไม่สามารถอยู่ร่วมสังคมกับผู้อื่นได้ การร่วมแรงร่วมใจโดยไม่แบ่งแยกโรงเรียน เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ก่อตั้งโรงเรียนว่าไว้ ปัจจุบันนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีขึ้นที่มีโครงการร่วมกัน สร้างเครือข่าย ไม่แบ่งแยก ไม่ถือตนเป็นใหญ่ การให้เกียรติโรงเรียนอื่น เรียนรู้ที่จะร่วมมือกัน จะช่วยผลักดันสร้างสิ่งดีดีในประเทศชาติได้มากขึ้น ในอนาคต ทั้งเรื่องการวิจัย เรื่องสังคม และทุกเรื่องดีดี
ขอประชาสัมพันธ์ ทุกๆสองปี ทางโรงเรียนและชมรมศิษย์เก่าฯ จะมีการจัดกิจกรรม “งานราตรีศรีตรัง” เป็นงานที่ศิษย์เก่าตั้งแต่รุ่นแรก จะได้มีโอกาสกลับคืนสู่ “บ้าน” พบปะสังสรรค์กันที่นอกเหนือจากงานศิษย์เก่าอื่นๆ ทั้งงาน Home coming days หรืองานประชุมเกี่ยวกับการพัฒนาชมรมศิษย์เก่า ฯลฯ
ในปีนี้ งานราตรีศรีตรัง จะมีขึ้นในคืนวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2552 ที่ใกล้ถึงนี่ ศิษย์เก่าพร้อมใจไปพบกันนะครับ 19:00น รายละเอียด www.mwitnight.comโทร 086-633-0669