เรื่องของหวัด 2009
ชเนษฎ์ ศรีสุโข ณ ราชวิถี [chanesd@gmail.com]
แต่งเมื่อ 6 กรกฎาคม 2552
จากชื่อหวัดหมู สู่หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009
ถึงวินาทีนี้ ถ้าวารสารเดโมเครซีไม่ได้กล่าวถึงหวัด 2009 ดูท่าว่าจะตกยุค จึงเป็นการบ้านที่ผมพยายามตอบคำถาม บก. และผู้อ่านทุกท่าน
หวัด 2009 นี้ เป็นโรคที่ติดกันง่ายครับ ง่ายกว่าหวัดทั่วไป(high transmission rate) ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้ คือ การชุมนุมคนหมู่มาก ในพื้นที่ไม่ปลอดโปร่งโล่งสบายเท่าไร ทำให้ติดเชื้อหวัดกันเยอะขึ้นครับ ในไทยตอนนี้เฉลี่ยคาดการว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน มากกว่า 100คน ต่อวัน
มีคอนเสิร์ตหลายงานใหญ่ระดับประเทศช่วงนี้ ที่บังคับให้นักเรียนไปร่วม และอีกคอนเสิร์ตที่บรรดาวัยรุ่นไปร่วมเองเพราะชื่นชอบดาราเกาหลี ปรากฏว่ากลับบ้านไปเป็นไข้กันหมดครับ และอย่างที่ทราบกันดีก่อนหน้านี้ คือ สถาบันกวดวิชา ก็เป็นแหล่งแพร่กระจายโรคเช่นกัน ตอนนี้หวัดไปชุกแถวภาคตะวันออกของประเทศ อาจเนื่องด้วยประชากรอยู่ร่วมกันมาก และทำงานด้วยกันเยอะ เช่น ทหารเรือ โรงงาน ตลาด ชุมชนต่างๆ
การป้องกันการติดหวัด อย่างหนึ่ง คือไม่ไปชุมนุมเสื้อแดง เอ้ย! ไม่ใช่ ไม่พยายามไปชุมนุมปะปนกับฝูงชนจำนวนมาก เพราะจะทำให้แพร่กระจายเชื้อกันไปใหญ่ (บางคนอาจบอก ดีดี จะได้ติดเชื้อกันให้หมด จริงๆไม่ดีครับ)
หวัด 2009 เป็นโรคที่มีความรุนแรงต่ำ(Low virulence) และต่ำกว่าหวัดนกมาก โอกาสตายประมาณ 3 ใน 1000 จึงรักษาได้ไม่ยาก ประกอบกับโรคนี้มีระยะฟักตัวสั้น(short incubation period) หมายถึงว่า นับจากช่วงได้รับเชื้อ ภายใน1-7วันจะเป็นไข้แล้วครับถ้าใครเป็นไข้ จึงควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว คือภายใน 48 ชั่วโมงครับ
ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งคือ การตรวจยืนยันว่าเป็นหวัด 2009 จริงหรือไม่นั้น ต้องส่งเพาะเชื้อและใช้เวลานานกว่า 7 วัน รวมถึงชุดตรวจก็สิ้นเปลืองและขาดแคลน ดังนั้นแนวทางการรักษาของแพทย์สำหรับหวัด 2009 ในช่วงนี้ คือถ้าใครไข้สูงกว่า 38.5 องศา และมีอาการทางระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไอ จาม มาก รวมถึงอาการอื่นๆ คลื่นไส้อาเจียน เมื่อยตัว ก็ดำเนินการรักษาไข้หวัด 2009 โดยใช้แนวทางการรักษาไข้หวัดใหญ่โดยทันที ไม่ต้องตรวจยืนยัน เพราะไม่ทัน แต่ในกรณีเป็นหนัก เช่นมีปอดบวมร่วมด้วย ก็ควรตรวจยืนยันเพื่อการรักษาที่เหมาะสม
ดังนั้นจากที่กล่าวไปข้างต้น จริงๆสถิติผู้ป่วย หวัด 2009 ทุกวันนี้ จึงเป็นสถิติที่น้อยกว่าความเป็นจริงครับ ยังไม่นับความพยายามปกปิดสถิติการติดเชื้อจากหน่วยงานหลายหน่วยงาน เผอิญว่าคนตายปิดกันไม่ได้ จนอาจารย์แพทย์หลายท่านด่า “นี่แหละประเทศไทย” ถ้าคิดในแง่ดีแล้ว สมมติออกข่าวว่ามีผู้ป่วย 1000 คน มีคนตาย 3คน แต่จริงๆแล้วตาย 3คน จากผู้ป่วยจริงๆ 10000คน แสดงว่าผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ ยังไม่มากเท่าไร (High infectionrate but low death rate)
หลายคนที่มีอาการไม่มาก เป็นแล้วหายเองได้ โดยยังไม่ทันรู้ว่าตนเองเป็นหวัด 2009 เลยครับ
จากหวัด 2009 ที่สื่อทุกแขนงขายได้ขายดีกับข่าวนี้มาเป็นเดือนๆแล้ว ท่านผู้อ่านจะป้องกันกันอย่างไร?
โรคพวกไวรัสนี้ ไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสให้หายขาด จึงเป็นการรักษาแบบประคับประคอง และ การระมัดระวังสุขภาพ การป้องกันก่อนเกิดโรค เป็นเรื่องสำคัญ จึงขอเชิญชวนกันมาดูแลสุขภาพ รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ดังนี้ครับ
หากพูดถึงการรณรงค์ ล้างมือ ทำอาหารให้สุก ที่มีนโยบายออกมาตอนนี้ การล้างมือ การทำอาหารให้สุก ก็เป็นเรื่องที่สำคัญอยู่แล้วในการป้องกันโรคหลายชนิด แต่กับหวัด 2009 นั้น มันเป็นโรคที่แพร่ผ่านอากาศ การล้างมือ การทำอาหารให้สุก อาจช่วยได้ไม่มากครับ
หลายคนถามผมอีกว่า เขาพยายามใส่หน้ากากทั่วไป หรือที่เรียกกันว่า Mask ตลอดเวลา และสำคัญคือใส่ยามที่ออกจากบ้านช่วยได้มากน้อยเพียงไร จะขอชี้แจงแถลงไขว่า วิธีที่ว่านั้น คนสุขภาพดี และใส่ Mask ไป จริงๆแล้วไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไรนัก เพราะอนุภาคไวรัส ที่ปนมากับอนุภาคอากาศ มีขนาดเล็กมากครับ และเล็กจนสามารถลอดเส้นใยหน้ากากทั่วไปได้อย่างสบาย ไม่ใช่แค่ไวรัสเท่านั้น แม้แต่วัณโรค ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีขนาดใหญ่กว่าไวรัสหลายเท่า
นอกจากนี้การใส่ Mask จะช่วยได้ดีในกรณีใส่คนที่เป็นโรคครับ!
กล่าวคือ ผู้ป่วยหวัด 2009 ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ หรือผู้ป่วยวัณโรค ถ้าใส่ Mask จะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อได้มาก ถ้าอธิบายก็เนื่องจากเวลาคนเราจามหรือไอ ตอนแรก จะออกมาเป็นน้ำลาย หรือน้ำปริมาณมากใช่ไหมครับ เมื่อออกสู่อาการจึงค่อยๆแตกสลาย กระจาย ทำให้เชื้อโรคปนกับอากาศ ดังนั้น การเอาหน้ากากคลุมหน้าผู้ป่วย ก็ลดการพ่นน้ำลายและของเหลวจากผู้ป่วยออกสู่โลกภายนอก ลดโอกาสติดเชื้อได้จริง
จึงนำมาสู่วิธีการที่ดี ก็คือ การรณรงค์ใส่หน้ากากกันทั้งประเทศนั่นเอง โดยจุดประสงค์หลักเพื่อให้คนที่ป่วยไม่แพร่เชื้อ ส่วนคนที่ปกติ ถือเป็นการป้องกันได้บ้าง และช่วยเหลือเยียวยาทางจิตใจนั่นเอง
สิ่งสุดท้ายที่ยังเป็นปริศนาสำหรับหลายคน ก็คือ จากสถิติ ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิต เช่นในประเทศแรกๆที่เสียชีวิตเยอะ เนื่องจากสาธารณสุขของเขารับมือไม่ทัน ไม่ดีพอ ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตทั่วโลก จะเป็นเด็ก หรือคนแก่ ก็คือผู้ที่ภูมิคุ้นกันไม่ค่อยดีเท่าไร นั่นเองครับ
แต่ในประเทศไทยของเรา ที่เสียชีวิต มีอายุรุ่นๆ 20-30ปี เสียชีวิตด้วยนั้น ยังเป็นปริศนาว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และต้องระมัดระวังการกลายพันธุ์ของโรค ที่จะทำให้วุ่นวายกันไปอีกครับ
สุดท้ายนี้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน การดูแลป้องกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดครับ อย่าดำรงชีวิตด้วยความประมาท ขาดสติ โดยสรุป
- ไม่ไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยง พื้นที่คับแคบ แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก การชุมนุม คนหมู่มาก
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานอาหารดี พักผ่อนเพียงพอ ภูมิคุ้มกันจะได้ไม่ต่ำ
- หากมีอาการไข้สูง ไอ จาม ควรรีบพบแพทย์โดยด่วนครับ
ฝนตกมากมาย หวัด2009กระจาย เป็นไข้รีบรักษาก็หาย คนไทยดูแลสุขภาพตนเอง ครับ สวัสดีครับ
Sung Yong Hwa
ขอบคุณมากๆค่ะพี่กล้า ใหม่เป็นแล้วด้วย2009 แต่กว่าจะรู้ผลตรวจก็เกือบจะหายแล้วแต่ตอนนี้หายแล้วค่ะโชคดีที่ไม่มีโรคประจำตัวอะไรและไม่ได้เป็นโรคเกี่ยวกับปอด ไม่งั้นคงแย่เลยค่ะยิ่งกลัวว่าจะเรียนไม่จบ…เหอๆ(ป่วยบ่อยจริงๆ)พี่กล้ารักษาสุขภาพนะค่ะ ได้ยินมาว่าที่ราชวิถียิ่งเชื้อโรคเยอะ
Gin
ไม่รู้จะตอบทางไหน ตอบที่นี่ละกันนะครับ ยินดีด้วยครับที่หายแล้ว เรียนเป็นไงบ้างครับนี่ สู้ๆนะครับ
albert
อยากให้คนทั่วไปได้อ่านเยอะๆครับ (เดี๋ยวจะส่ง link ให้เพื่อนๆอ่าน)ตอนแรกผมไม่กลัวโรคนี้เลย พอมาเจอกับตัวเองถึงได้รู้ซึ้งอาทิตย์ก่อนไปเที่ยวผับกับเพื่อน 3 คน กลับมาป่วยกันหมดเลย คนหนึ่งถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ตอนนี้ทุกคนหายดีกันหมดแล้ว(แล้วประเด็นหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่าเป็นหวัด 2009 เพราะคุณ "เป้ย-ปานวาด" ที่เป็นข่าว เธอก็ไปผับนั้นในวันเดียวกันด้วย)
Ratt
ขออนุญาตนำลิงค์ไปเผยแพร่กะเพื่อนๆนะพี่ อยากให้คนอื่นๆได้อ่านมั้ง ไอ้พวกที่เป็นหวัดมันจะได้หัดใส่maskกะเค้าบ้างขอบคุณค่ะ
Gin
ครับ ยินดีครับ ขอบคุณครับ
PiiE
เขียนดีมากๆเลยอ่ะน่าจะออกหนังสือสักเล่ม จะอุดหนุนแน่นอนเลยขอบคุณสำหรับบทความ เกี่ยวกับหวัด 2009 ที่ดีเช่นนี้ นะ:")
Max
เยี่ยม ดีใจที่ความเห็นตรงกะหมอ คือเพิ่งไข้ขึ้นเหมือนกัน คาดว่าเนื่องจากตายฝนแล้วต่อด้วยนอนไม่พอ(ที่โรงเรียน ว่างๆ จะเล่าให้ฟัง) จึงไข้ขึ้นตามปกติ คาดว่ามิใช่ไข้หวัดใหญ่แต่อย่างใดคือตั้งแต่เห็นว่ามันเป็น Airbone ก็ทำใจแล้วล่ะ ติดก็ติด ซวยก็ซวย ได้แต่รักษาสุขภาพ ที่เห็นคนมาด่าๆ ว่าคุมไม่ดีคุมไม่อยู่นี่ ยังคิดอยู่ว่าแล้วทำยังไงจึงจะอยู่ฟะ
Ninnat
ขอบคุณสำหรับบทความ