การต่อสู้ของ นพ.พัฒนัตถ์ ศรีสุโข บิดาของชเนษฎ์ ศรีสุโข
การต่อสู้ของ นพ.พัฒนัตถ์ ศรีสุโข บิดาของชเนษฎ์ ศรีสุโข
ตีพิมพ์ในวารสาร Demo-Crazy ฉบับ ตุลาคม 2556 issuu.com/demo-crazy/docs/volume28
ชเนษฎ์ ศรีสุโข bloggla.com
อุทิศเนื่องในโอกาสเดือนตุลาคม เดือนที่ปัญญาชนชาวไทย รำลึกถึงความเสียสละเพื่อประเทศชาติ ครั้นสมัยนักศึกษาเดือนตุลา มาจนถึง “7 ตุลา ต้องไม่สูญเปล่า” ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อนึ่ง เป็นเดือนที่ทำให้เรารำลึกถึงเสด็จพ่อฯ ร.5 ผู้ทรงสร้างความเจริญนานัปการ และยังเป็นเดือนเกิดของคุณพ่อแท้ๆของผมเองด้วย เป็นการดีที่จะแต่งนิทานเล่ากล่าวขอบคุณคุณพ่อถึงความเสียสละที่มีตลอดมา ส่วนนิทานสำหรับคุณแม่ รอไปก่อนละกันนะครับ
………..(เรื่องนี้เป็นนิทาน เป็นเรื่องแต่ง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลจริงใดใด)………..
อาจารย์หมอหลายคน เป็นตัวอย่างการดำรงชีวิตที่ดีให้กับผม โดยเฉพาะคุณพ่อและคุณแม่ของผมเอง…
คุณพ่อ เป็นแรงบันดาลใจและเบื้องหลังความสำเร็จของทุกคนในครอบครัว
พ่อโตมาจากชนชั้นรากหญ้า จากปูมหลังที่ติดลบ ครอบครัวแตกแยก ลูกกำพร้าที่ไม่มีใครดูแล วัยเด็กความเป็นอยู่แร้นแค้น เคยกลิ้งตกจากบ้านไม้ของย่าในสลัมสมัยก่อน จนมีคนสงสารขอเอาไปเลี้ยง พ่อโตในบ้านของเตี่ยบุญธรรมโดยทำตนเป็นคนรับใช้ ดูแลทำความสะอาดบ้าน กระนั้น พ่ออุตสาหะ คอยเตือนตนเองให้หมั่นเพียรเสมอ พ่อบอกเสมอว่าความขี้เกียจคือศัตรูตัวฉกาจ พ่อสามารถบากบั่นจนสอบเข้าเรียนเตรียมอุดมฯได้ สอบเข้าแพทย์ศิริราชฯได้ เรียนจบไปทำงานใช้ทุน และเรียนต่อเป็นศัลยแพทย์(หมอผ่าตัด)
แม้ว่าพ่อจะมีต้นทุนชีวิตน้อยและทางเลือกที่ไม่มากนัก กระนั้นพ่อยังมุ่งมั่นกระทำตามอุดมการณ์ของหมอสมัยก่อน ที่มักแข่งกันอุทิศตนไปอยู่ในพื้นที่กันดาร ใครกันดารกว่า เท่ห์กว่า
พ่อเปี่ยมด้วยความรับผิดชอบ
พ่อเคยรับราชการจนเกษียณ และเคยเป็นหมอผ่าตัดคนเดียวในโรงพยาบาลจังหวัด พ่อสามารถอยู่เวรดึก ผ่าตัดทั้งคืน ติดต่อกันทุกคืนเป็นเดือนๆ และตอนเช้าก็ปฏิบัติงานตรวจผู้ป่วยต่อได้ ดุจเครื่องจักร พ่อเป็นหมอผ่าตัดรุ่นเก่า ที่ไม่เกี่ยงงานหนัก ไม่เคยปฏิเสธและทอดทิ้งคนไข้ พ่อบอกว่านี่คือจิตวิญญาณหมอศัลย์
พี่พยาบาลเล่าแซวอยู่บ่อยว่า ด้วยความที่พ่องานหนัก บางครั้งตอนเช้าหลังลงเวร พ่อเดินไปราวน์(ตรวจ)คนไข้ที่นอนในแผนกต่างๆทั่วทั้งโรงพยาบาล ได้สั่งให้การรักษาเป็นอย่างดี และ กลับบ้านไปแอบงีบ พอพ่อตื่นมาตกใจรีบวิ่งไปที่ตึก ไปราวน์อีก พยาบาลเลยบอกว่าหมอมาไปแล้วค่า (คงเพราะว่าเหนื่อยจัด พ่อเลยลืม)
ในสมัยเด็กๆ กลางดึก โทรศัพท์ที่บ้านมักดังบ่อย มีพยาบาลโทรตามพ่อไปดูแลคนไข้นั่นเอง และพ่อไม่เคยดึงสายโทรศัพท์ แกล้งทำโทรศัพท์เสียแต่อย่างไร มักไปดูคนไข้ทันที
พ่อยังมีความนอบน้อม จิตใจเปิดกว้าง รับฟัง และให้เกียรติผู้อื่นอยู่เสมอ เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกๆ
เวลาพ่อเข้าร้านอาหารไม่ว่าจะมีระดับแค่ไหน (ส่วนใหญ่เข้าร้านราคาไม่แพงเพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกเสมอ) พ่อจะพูดคุยกับบริกรอย่างสุภาพมากๆ (จนผมติดนิสัย เวลาไปคุยกับคนล้างรถ บทสนทนาจะเหมือนคนล้างรถเป็นผู้บังคับบัญชาของเรา) พ่อชอบบอกบริกรว่า “ไม่เป็นไรครับ” ผงกหัว ยิ้มให้บริกร แล้วบริการตัวเองทุกอย่าง คีบน้ำแข็ง เทน้ำดื่มเอง ตักข้าวเอง ตักกับเอง เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง (แต่เวลาอยู่บ้านก็จะใช้งานแม่ ให้เตรียมอาหาร และทำงานแทนบริกรบ้าง)
ทุกวันนี้พ่อเปิดสถานพยาบาลเล็กๆ ในจังหวัดพิจิตร ประชาชนแวะเวียนมาหาอยู่เสมอ เพราะพ่อรักษาเก่ง รักษาได้ทั้งเด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ใหญ่ คนชรา รักษาตั้งแต่โรคทั่วไป เบาหวานความดัน โรคผิวหนัง โรคทางลำไส้ ผ่าตัด ผ่าคลอด ฯลฯ ไปจนถึงปัญหานกเขาไม่ขัน
ประชาชนบางคนมาเพื่อมาเล่าเรื่องราวต่างๆให้พ่อฟัง พ่อก็มักจะพยักหน้า พูด อืมอืม ไม่ว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะรับฟังซ้ำมากี่สิบรอบก็ตาม พ่อมักจะยิ้มแย้มเสมอ (หลายคนก็มาชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องการเมือง พ่อเองในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เคยเขียนจดหมายส่งถึงอภิสิทธิ์สมัยเป็นนายกฯหลายฉบับ ตอนหลังรู้สึกปลงอนิจจังกับอภิสิทธิ์ ก็เลยเลิกเขียนไป)
พ่อมีระเบียบวินัย ละเอียดละออ ตรงต่อเวลา ขยัน
ตื่นตีห้าทุกวัน ทำงานเช้าจรดดึก การดำรงชีวิตอย่างมีสติทุกขั้นตอนของชีวิต พ่อสอนว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม” บางครั้งผมเคยคิดว่าถ้าชาติที่แล้วมีจริง คุณพ่อคงเป็นคนญี่ปุ่นที่บ้างาน และได้อุปนิสัยที่ดีเหล่านี้ ข้ามภพข้ามชาติมา เป็นคนที่มีความสุขในการทำงานอย่างยิ่ง
ด้วยความเป็นสุดยอดคุณพ่อ ท่านเป็นคนน่ารัก และมีคนรักมาก เพราะเป็นคนรักลูกน้อง ปกป้องผู้ร่วมงาน และทำเพื่อส่วนรวม
ในชีวิตของท่านผ่านความเป็นความตาย การต่อสู้กับอำนาจอยุติธรรมในระบบราชการ มามาก เคยทะเลาะกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลขี้ฉ้อ(ฉล) ที่เคยคอรัปชั่นเงินหลวงในโครงการก่อสร้างหลายร้อยล้านบาท พ่อปฏิเสธการกินตามน้ำ หลายครั้งเวลาผู้อำนวยการกินเสร็จอิ่มอร่อย ได้ซื้อคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่แจกหมอระดับผู้บริหารทุกคน พ่อเป็นคนเดียวที่กล้าปฏิเสธ (ส่วนแม่กลับไปรับมา เพราะอยากได้ แล้วก็ใช้ไม่เป็น สุดท้ายก็เลยส่งคืน)
พ่อไม่สังคายนากับการประชุมเพื่อโกงเงินหลวงทุกประการ ความแข็งข้อของพ่อทำให้ถูกสั่งทุบบ้านพักในโรงพยาบาลทิ้ง จนพวกผมและน้องๆต้องอพยพมาอยู่บ้านพักข้างนอกโรงพยาบาลมาจนถึงทุกวันนี้ (และบริเวณที่ถูกทุบทิ้งก็ไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมาใหม่จนถึงทุกวันนี้ – เรียกได้ว่า ทุบเฉยๆ)
เป็นเรื่องน่าภูมิใจว่าพ่อสู้เพื่อความถูกต้องเสมอ (จนไม่มีบ้านอยู่) ในภายหลัง ผู้อำนวยการขี้ฉ้อได้เกษียณไปและมีแต่คนเจริญพรสาปส่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรัฐในปัจจุบัน จบจากเชียงใหม่ เป็นอดีตคนเดือนตุลาฯ มีความกล้าหาญ ได้พยายามจัดการแก้ไขเรื่องผิดพลาดในอดีต ให้ถูกต้องมากขึ้น
พ่อยังเคยถูกลอบยิง…
ระหว่างช่วงพ่อเป็นหัวหน้าแผนกฉุกเฉินควบกับหัวหน้าแผนกผ่าตัดไปด้วยนั้น มีภรรยาของสื่อมวลชนขาใหญ่คนหนึ่งในจังหวัด ป่วย (ถ้าจำไม่ผิดคือแมวข่วน แผลติดเชื้อ) มานอนห้องพิเศษ สื่อมวลชนท้องถิ่นท่านนี้ชอบเรื่องมากกับพยาบาล เบ่ง อ้างนักการเมืองใหญ่ บุกเข้าเยี่ยมภรรยาในยามวิกาลหลายครั้ง ต่อว่าและเรียกใช้พยาบาลขนาดหนัก เรียกร้องเยอะ ไม่ปฏิบัติตามกฏระเบียบทั่วไปของโรงพยาบาล คุณพ่อในฐานะหัวหน้าแผนก ไม่ได้ทำแบบที่ข้าราชการรับใช้นักการเมืองกระทำกัน และ ไม่ได้หาเสียงข้างมากโหวตเพื่อพยายามแก้กฎระเบียบของโรงพยาบาลเพื่อใคร
เมื่อพ่อทราบเรื่อง ท่านได้เข้าไปคุยกับสื่อมวลชนท่านนั้น ว่าการทำเช่นนั้นไม่ถูกระเบียบ ขอให้เลิกกระทำเสีย สื่อโกรธมากเอาพ่อไปเขียนด่าในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น หลายเดือน มีการประชุมสืบสวนเรื่องโดยกรรมการ เกิดดราม่า มีการด่าว่าสาดเสียเทเสียพ่อเป็นชั่วโมงๆ จบการประชุม กรรมการเข้าใจและเห็นใจพ่อเป็นส่วนใหญ่ การพิจารณาพ่อจึงไม่ผิด
หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ระหว่างที่พ่อปฏิบัติงานในแผนกฉุกเฉิน พยาบาลทำงานแข็งขันเป็นปรกติ ได้มีห่าลูกกระสุน ยิงถล่มแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาล หลายสิบนัด เสียงดังลั่นไปทั่ว คนวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่ในสมัยนั้น ตำรวจจากพิษณุโลก จากกำแพงเพชร ต้องประชุมสืบสวนเครียด เพราะเป็นการยิงโดยมือปืนไม่ทราบสังกัด ขณะที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลซึ่งเป็นผู้ชายในสมัยนั้น กลัวมาก สั่นงึกๆ และอยากให้พ่อย้ายไปอยู่จังหวัดอื่นสักพัก (แต่พ่อไม่ไป)
แม่ (ปัจจุบันเป็นกรรมการแพทยสภาจากการเลือกตั้ง และโฆษกแพทยสภา แม่บ่นว่าทำงานเพื่อส่วนรวม แต่ยังถูกด่า เงินเดือนก็ไม่ได้ จนเหมือนคนใกล้บ้า) คุณแม่สมัยนั้น เครียดมาก เพราะพ่อเขียนตัวหนังสือใหญ่ไว้ที่กระดานในบ้าน ว่า “ถ้าผมมีอันเป็นไป ให้รู้ว่า บุคคลต่อไปนี้ …. [มีรายชื่อแนบท้าย 3-4 รายชื่อ] เป็นผู้ต้องสงสัย ให้บอกตำรวจด้วย” แม่กลัวจัด ตัวสั่นงันงก ตอนหลังมา เรื่องราวเหล่านี้จบไปได้ สืบเบื้องหลังจากปากคำอดีตผู้อำนวยการในสมัยนั้น (คนละคนกับผู้อำนวยการขี้ฉ้อ) ประมวลได้ว่า เพราะ พ่อไปติดต่อผู้มีบารมีในจังหวัด รวมทั้งผู้มีบารมีแถวพิษณุโลก ว่าถ้าพ่อเป็นอะไรไป ให้ตอบแทนอีกฝ่ายอย่างสมเกียรติและศักดิ์ศรีด้วย เรื่องเลยจบ
พ่อยังเป็นคนมีความเมตตา กรุณา และ กตัญญู กตเวทิตา อย่างสูง
สมัยที่พ่อถูกรับเลี้ยงในสมัยเด็ก เวลาพ่อได้เงินจากเตี่ยบุญธรรม พ่อจะเก็บเอาไปให้ย่า (คุณแม่ของตนเอง) เสมอ แม้ว่าย่าจะไม่ได้เลี้ยงพ่อก็ตาม ตลอดทั้งชีวิตพ่อ พ่อยังดูแลญาติพี่น้องและอุปถัมภ์ทุกคน ใครติดหนี้ ใครขาดแคลน พ่อช่วยหมด พ่อให้รถ และให้ที่ดิน แก่ญาติ โดยไม่คิดเงินแม้แต่บาทเดียวก็มี ไม่นับยาและการรักษาที่ไม่คิดค่าตอบแทนใดใดกับหมู่มิตรสหาย
และเมตตาธรรมของพ่อนั้น ยังเผื่อแผ่นอกจากญาติ ผู้ป่วย ประชาชนทั่วไป ไปจนถึงแม้กระทั่งคนคิดโกงพ่อ ล่าสุดไม่กี่ปีมานี้ พ่อเอารถไปซ่อมใหญ่ที่อู่ (เหตุจากที่ผมขับรถไปชนต้นไม้ รถพัง) พ่อถูกลูกชายอู่รถเรียกเงินซ้ำซ้อนหลายครั้ง เจ้าของอู่มาสารภาพภายหลัง ว่าพ่อถูกโกงเงินไปห้าแสนบาท ส่วนลูกชายอู่รถตัวดีก็หอบเงินหนีหายเข้ากลีบเมฆไป พ่อก็ถือว่าแผ่เมตตา ทำบุญให้เขาไป ส่วนแม่กับผมและน้องๆ ก็ได้แต่บ่นอุบ (ตอนหลังมาพ่อเลยบอกว่าถือว่าเขวี้ยงหัวสุนัขไปละกัน)
อีกเรื่องหนึ่ง คือมีไม่นานมานี้ มีปีที่รัฐบาลออกนโยบายเพื่อกำจัดSME โดยขึ้นค่าแรง (พ่วงการขึ้นค่าครองชีพ อาหาร แก๊ส ไฟฟ้า น้ำมันไปด้วย) ทำให้พ่อเสียเงินค่าจ้างพนักงานหลายสิบคนเพิ่มอีกเป็นจำนวน สี่แสนกว่าบาทต่อเดือน อีกทั้งพ่อยังมีภาระหนี้สินธนาคารจากการก่อสร้างสถานพยาบาลหลักสิบล้าน แต่พ่อไม่ปรับพนักงานออกเลยแม้แต่คนเดียว และแบกรับภาระขาดทุนไป พ่อบอกว่าคนเหล่านั้นเขาก็มีครอบครัว
พ่อยังสมถะ
ทุกวันนี้ท่านเป็นหมอวัยเกษียณที่ดูใจดี แต่งตัวสุภาพ ใส่เสื้อผ้าดูมีอายุ รองเท้าเก่า นาฬิกา CASIO เรือนละ 400 บาท (และถ้าตามไปดูถึงห้องนอนจะพบว่า ท่านนอนบนเสื่อแค่ผืนเดียว กินง่ายอยู่ง่าย)
จริงๆในบ้าน พวกเราจะเรียกพ่อว่า “Godfather” เป็นฉายาที่ผมตั้งไว้ หมายถึงเจ้าพ่อ ไม่ใช่เพราะว่าพ่อเป็นผู้มีอิทธิพลผิดกฎหมายอะไร แต่เพราะพ่อมีจิตใจดีงาม และมีแต่ให้แก่สังคมโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน แม่บอกว่าพ่อทำบุญได้ถูกต้อง อย่างน้อย ลูกๆทุกคนก็ได้ดีกันจนถึงทุกวันนี้ พ่อยังเป็นเบื้องหลังคอยค้ำยันพวกเรา (พ่อ คือ ตีนที่มองไม่เห็น นั่นเอง – พ่อบอก)