http://issuu.com/demo-crazy/docs/volume26
บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ หน้า 25 วารสาร DemoCrazy ปฏิวัติความคิด ติดอาวุธปัญญา
เด็กอัจฉริยะมาก ควรเรียนหมอหรือไม่?
ชเนษฎ์ ศรีสุโข chanesd@gmail.com MWIT รุ่น 12
ได้รับเชิญจากโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ให้พูดเกี่ยวกับจุดอ่อนของการเรียนหมอ และชีวิตหมอ พูดให้น้องๆเด็กนักเรียนอัจฉริยะมากที่มาจากการสอบคัดเลือกทั่วประเทศ เป็นนักเรียนทุนรุ่นละ 240 คน เปี่ยมอุดมการณ์สืบทอดมาตั้งแต่สมัยบอร์ดบริหาร ชื่อ ศ.ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร และ ดร.ธงชัย ชิวปรีชา นักเรียนเหล่านี้มีความสามารถหลากหลายด้าน พิสูจน์จากรางวัลในเวทีโอลิมปิกวิชาการโลก และเวทีการสอบคัดเลือกต่างๆของประเทศไทย นอกจากนี้ โรงเรียน ไม่ได้ส่งเสริมให้น้องๆแค่เอาแต่เรียนอย่างเดียว มีการส่งเสริมการทำกิจกรรมเพื่อสังคม การบำเพ็ญประโยชน์ กีฬา ดนตรี ฯลฯ ทำให้ น้องๆมีจิตสำนึกในการทดแทนคุณแผ่นดินไทย จบออกมาหลายคนก็เป็นผู้นำทำกิจกรรมดีดีในสังคมที่เขาอยู่
เด็กโรงเรียนนี้ หลายคนถูกผู้ปกครองโน้มน้าวให้เรียนหมอโดยที่อาจไม่ได้ชอบ ผมเลยอยากเล่าอะไรให้ฟัง…
ผมเป็นลูกหมอ พ่อแม่เป็นหมอ อดีตท่านทั้งสองเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้ง คุณแม่ยากจนมาก ถึงขั้นตอนเด็กต้องเก็บขยะขายประทังชีวิต บางครั้งก็เข็นรถขายกล้วยปิ้ง ขายผัก เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นล่างโดยแท้ แต่มีจิตสำนึกดี ฝักใฝ่เล่าเรียน สอบหาทุนเรียน จนสุดท้ายจากเด็กยากจนในสมัยนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็สอบเข้าเรียนหมอได้ เรียนจนจบ เรียนต่อเฉพาะทาง และทำงานเป็นหมอในชนบทมาสามสิบปี ดูแลประชาชนผู้ยากไร้รวมๆกันหลายแสนราย
การเป็นหมอในสังคมไทยโดยเฉพาะในยุคนั้น หมอจำนวนมากมีอุดมการณ์ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในต่างจังหวัด ท่ามกลางการทำงานหนักทุกวัน ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และอยู่เวรบ่อย รายได้ที่ใครคิดว่ามาก คุณแม่เก็บเงินได้เพียงเฉลี่ยแค่ปีละหนึ่งแสนบาทเท่านั้น จากการเป็นหมอตลอด สามสิบปี ในแง่สุขภาพคุณแม่ติดเชื้อจากโรงพยาบาล ท้องเสียบ่อยๆ และทำงานหนักจนล้มป่วย เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ รักษาประคับประคองมาเรื่อยๆ
สมัยผมเป็นเด็กเห็นหมออาวุโสหลายคนต้องมีปัญหาครอบครัว เพราะ วันวันขลุกอยู่แต่กับในโรงพยาบาล การเข้าใจและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นลดลง และผมจำได้ว่าตอนกลางคืน พ่อแม่มักถูกโรงพยาบาลตามตัวออกจากบ้านกลางดึกตลอด จวบจนปัจจุบัน หมอเองยังเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้อง และถูกมองเป็นแค่ “ผู้ให้บริการ” รับใช้ประชาชนจำนวนมากที่ไม่ได้เรียนหมอแต่ความต้องการความคาดหวังสูง หมอต้องคอยรักษาโรค โรคที่เราไม่ได้ก่อขึ้นด้วยซ้ำไป
ผมเองสมัยจบมัธยมปลาย ตอนแรกสอบเตรียมไปเรียนต่างประเทศ แต่คุณแม่บังคับให้เรียนหมอเพราะคิดว่าทางเลือกที่ดีที่สุดในสมัยตนเองนั้น ก็คือทางเลือกที่ดีที่สุดในสมัยลูกเช่นกัน
สำหรับเด็กทั่วไปที่อยากเรียนหมอเพื่อยกระดับชนชั้นและมีรายได้ปานกลางอย่างมั่นคง ผมจะให้คำแนะนำอีกแบบหนึ่ง แต่เมื่อถามว่า เด็กที่ “อัจฉริยะมากๆ” ควรเรียนหมอหรือไม่ ผมมีคำแนะนำถึงน้องๆ และผู้ปกครอง ดังนี้
- หมอเป็นอาชีพที่ต่อไปผลิตปีละไม่ต่ำกว่าสามพันคน คนเรียนดีระดับหนึ่งสามารถสอบเป็นหมอได้ และจบมาเป็นลูกจ้างซะส่วนใหญ่ อยู่เอกชนเงินเดือนดีกว่าอยู่รัฐบาล
- หมอเป็นอาชีพที่จบมาแล้วทำงานบริการ ขายบริการผู้ป่วยได้ครั้งละคน งานหนัก เหนื่อยมาก แก่เร็ว ป่วยง่าย การทำงานเพื่อแก้ไขโรค แต่ไม่ได้เพิ่มปัญญาหรือเพิ่มคุณภาพประชาชนให้ดีขึ้น มีงานดี มีเงินมากขึ้นได้เท่าไร
- หมอเป็นอาชีพที่เรียนนาน เผลอๆไม่ต่ำกว่า 12-15 ปี กว่าจะทำงานได้ และกว่าจะมีทักษะคงต้องทำงานจนอายุประมาณ 40 ปี และยังต้องศึกษาต่อเนื่องอีกตลอดชีวิตในวิชาการแพทย์ ถ้ายังทำอาชีพนี้ต่อไป
- การเรียนตามระบบทั่วไป คนรวยเขียนปริญญา คนจนมาเรียนเอาปริญญาเพื่อเป็นลูกจ้างของคนรวย หมอหาเงินได้รายวันไม่มากเกินหลักพันหลักหมื่น ถ้าจะมากกว่านั้นจะเป็นเรื่องเชิงธุรกิจ การเป็นตัวแทนขายยา หรือวัสดุไปด้วย และการทำงานหนักเป็นอย่างมากๆ กว่าปกติ อนึ่ง ถ้าน้องอยากรวยด้วยการเป็นหมอ ลองไปเปิดผลกำไร รพ.เอกชน ในตลาดหลักทรัพย์ ต่อปีดู แล้วจะพบว่า วิชาชีพที่ระบบระเบียบมาก ควบคุมกันมาก กลับกำไรน้อยกว่ากิจการทั่วๆไป หลายอย่างมาก
- ถ้าคนที่มีอุดมการณ์ของมหิดลวิทย์ กล่าวคือ ต้องการสร้างงานวิจัย-นวัตกรรม ที่จะสร้างประโยชน์ให้โลก และสร้างรายได้ด้วย น้องจำเป็นต้องรู้จักสามเหลี่ยมในการพัฒนาประเทศ (เหมือนของยุโรป) การพัฒนาชาติ หรือองค์กร-กิจการของตนเอง จะต้องประกอบด้วยการพัฒนา 3 ด้าน คือ 1.เศรษฐศาสตร์ (รู้วิธีหาเงิน) + 2.การเมือง (รู้วิธีการบริหาร) + 3.วิทยาศาสตร์ (รู้จักการสร้างนวัตกรรม การวิจัย อย่าง ipad, iphone, facebook, โปรแกรม, เกม, สินค้า, ผลิตภัณฑ์,ของกิน , ยา ฯลฯ) จากที่กล่าวมานี้ และน้องมีความอัจฉริยะมาก น้องสามารถสร้างกิจการ/งาน ของน้อง ได้เอง สร้างองค์ความรู้หรือนวัตกรรมของตนเอง อย่างมีความสุข มีรายได้ดี มีเวลาว่างมากกว่าหมอ มีเครือข่ายสังคมที่ดี และสามารถต่อยอดได้ หรือไม่? ควรพิจารณา
- ลองถามตัวเอง น้องรู้จักหมอที่มีชื่อเสียงดังระดับโลก หรือผู้ช่วยเหลือ-เปลี่ยนแปลงโลก อยู่สักกี่คน และ ลองพิจารณา แบบอย่างพวกอัจฉริยะมากๆ ที่เปลี่ยนแปลงสังคม หรือรวย หรือมีความสุขมาก เขาเรียนจบอะไรกัน
- การเรียนหมอไทย ระบบไม่สนับสนุนการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเท่าที่ควร ผมเองเคยสมัครทุนวิจัยเยาวชนระดับประเทศบางรายการ แข่งขันจนเข้ารอบสุดท้าย เหตุผลที่ไม่ได้ทุน เพราะอยู่ในคณะที่ชื่อเสียงน้อย, ส่วนโครงการดีดีในวงการแพทย์ อย่าง MD-Phd (เรียนจบ ดร. และเป็นหมอ) ก็ยังมีเปิดน้อย วงแคบๆครับ
- วงการแพทย์ไทย ยังเดินตามก้นฝรั่งอยู่มาก ปฏิวัติวงการยาก ต้องเรียนนาน จบแพทย์เฉพาะทางของเฉพาะทางแล้วไปตามฝรั่งในต่างประเทศ จึงจะมีงานวิจัยที่พวกเหล่านั้นรับรองออกมาได้ งานวิจัยหมอทั่วไปในปัจจุบันเอาไว้ขอตำแหน่งวิชาการ แต่การเอาไปใช้สร้างประโยชน์หรือรายได้มหาศาล ยังไม่เห็นชัด
- วงการแพทย์มีลักษณะชนชั้นทางสังคม มีการกีดกัน แบ่งแยกสถาบัน เส้นสาย การเติบโตในระบบไม่ได้วัดที่ฝีมือ แต่วัดทักษะในการวิ่งเต้น และปัจจัยอื่นๆ ต่างจากมหิดลวิทย์ที่สอบแข่งขันความสามารถล้วนๆไม่มีเส้นปน
- วิสัยทัศน์ที่ควรเป็นสำหรับวงการแพทย์คือ ”แพทย์ไทยจะร่วมมือกันอย่างไร เพื่อพัฒนาวงการแพทย์ไทย ยาไทย ผลิตภัณฑ์ไทย ให้ไประดับโลกได้” (ดร.ธงชัย ชิวปรีชา พูดกับผมโดยตรง เรื่องนี้) หากพิจารณาตัวอย่างบริษัทระดับโลกที่ประสบความสำเร็จ เช่น apple ในสมัยก่อน ที่ไม่ว่าจะมีวิกฤตการเงินเท่าไร ก็ไม่ตัดงบการวิจัย กลับเพิ่มงบในการคิดค้นสร้างผลิตภัณฑ์ จนได้นวัตกรรมเปลี่ยนแปลงโลกจำนวนมาก สร้างรายได้ ความสุขแก่คนในองค์กรทุกระดับ และ ตอบโจทย์อุดมการณ์ในการใช้ชีวิตอีกด้วย
วิดีทัศน์แนะแนวการศึกษา MWITS 2012