จริงๆแล้ว ช่วงนี้ 8-18 สิงหาคม 2550 เป็นช่วงหยุดการเรียนการสอน[จริงๆก็ยังมีเรียนบ้างเป็นบางวัน]
หยุดการเรียนการสอน อันเนื่องมาจากการที่มหาวิทยาลัยของข้าพเจ้าเป็นเจ้าภาพจัดพิธีเปิด-ปิด งานกีฬามหาวิทยาลัยโลก ครั้งที่24 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
ซึ่งไม่ต้องห่วงว่าข้าพเจ้าจะไปวิจารณ์ว่ามหาวิทยาลัยเอาหน้าแต่อย่างไร เพราะเป็นเช่นนั้นมานานและเป็นทุกงานอยู่แล้ว (ฮา)
ลองถามถึงตัวข้าพเจ้าเอง
ตั้งแต่ปีสองปีสามนี้ ข้าพเจ้ามีความขยันและเอาใจใส่กับการดูหนังสือน้อย และหนักทางด้านกิจกรรม รวมถึงงานสังคม
ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าเรียนพอรอดอยู่เสมอ และอีกส่วนเพราะคิดว่าการเรียนหมอสำหรับข้าพเจ้า สามารถจบได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่ความคิดนี้เป็นความคิดที่รู้สึกว่าไม่ถูกต้องเท่าไรนัก เพราะว่ายังไม่ได้ทำหน้าที่ทางด้านการเรียนให้สุดความสามารถ ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมาก เท่ากับประโยชน์ส่วนรวม
แม้ว่าไม่ได้อยากเป็นหมอเท่าไรนัก แต่ในเมื่อมาเรียนแล้ว และซาบซึ้งถึงจิตวิญญาณความเป็นแพทย์ ซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน ข้าพเจ้าควรพยายามที่จะเป็นหมอ ให้เป็นหมอที่ดีที่สุด ในฐานะคุณหมอกล้า เท่าที่จะเป็นได้
ถามว่าการที่ข้าพเจ้าพูดหลายครั้งว่าจริงๆไม่ได้อยากเรียนหมอ จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ท่านผิดหวังหรือเปล่านี่?
จริงๆ ถ้าถามคุณพ่อ คงไม่ผิดความหวังท่านแต่อย่างไร เพราะท่านอยากให้ข้าพเจ้าเรียนด้านอื่นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะการเรียนหมอเป็นงานหนัก และเหนื่อย เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้นั้นไม่คุ้ม แต่ที่ท่านทำทุกวันนี้ เพราะความเป็นหมออย่างแท้จริง และได้บุญ สุขที่ช่วยเหลือผู้คน
ถามคุณแม่ คนนี้นี่แหละคือคนที่ภูมิใจกับความเป็นหมอ ซึ่งไว้ตอนหน้า จะเอาบทความที่ท่านเขียน มาลงไว้ เป็นบทความที่ข้าพเจ้าชอบมากมาย และเขียนไว้ได้สักสองสามเดือน สำหรับงาน OPEN HOUSE แพทย์ทุกสถาบันของประเทศไทย 18สิงหาคม2550นี้
เมื่อวานที่ผ่านมาเป็นวันแม่แห่งชาติ และข้าพเจ้าได้ส่งsms สุขสันต์วันแม่
จากที่เคยกล่าวเสมอว่าที่บ้านข้าพเจ้าจะมีการประชุมกันในบ้านตลอด และหากลูกไม่อยู่บ้าน ก็จะมีteleconference นั้น
มีเรื่องหนึ่งที่ไม่แน่ใจว่าได้บอกคุณแม่หรือไม่ แต่คงเขียนลงblog ทุกปี แล้วคุณหมอก็คงมาอ่านเหมือนเดิม
จริงๆวันที่12สิงหาคมนี้ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินี และไม่ได้เป็นวันเกิดของคุณแม่ข้าพเจ้า
แต่ว่าเป็นโอกาสของชนทั้งชาติอันดีที่จะได้ทำดี และบอกรักกับแม่ แสดงความกตัญญู และสัญลักษณ์ ถึงความผูกพันแม่ลูก ทุกที่ทั่วไทย (โดยเฉพาะหนัง-ละครในทีวี)
ข้าพเจ้าก็แค่จะบอกว่า สำหรับข้าพเจ้า วันแม่นี้ ไม่ได้สำคัญอะไรกว่าวันอื่นมากมาย
เพราะว่า ข้าพเจ้ารักแม่ทุกวันอยู่แล้ว และไม่มีวันไหนที่จะลืมคิดถึงคุณแม่เลยนะครับ
สมัยอยู่ MWIT [โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์]
ข้าพเจ้าขอยอมรับอย่างยิ่งเลยว่า ข้าพเจ้ามีสภาพการณ์และชีวิตที่แย่กว่า ณ ปัจจุบันมาก แม้จะอยู่ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นหนึ่งของไทยและอ้างว่ามาตรฐานระดับโลก(ไม่คุยเลย ลองไปพิสูจน์ดู ฮา)
เพราะสมัยนั้น จุดมุ่งหมายชีวิตยังไม่ชัดเจนเท่าตอนนี้
สมัยนั้น ทุกวันข้าพเจ้าตื่นสาย ไปเรียนไม่ทัน
สมัยนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีระเบียบวินัยมาก
สมัยนั้น ข้าพเจ้าไม่ค่อยได้พยายามรู้จักใครเท่าไรนัก เก็บตัว
สมัยนั้น ด้วยปัญหาส่วนตัว และปัญหาทางความคิด หลายอย่าง จึงทำให้ข้าพเจ้าไม่มีความทะเยอทะยานในการเรียนเพื่อที่จะสอบเข้าสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับสูง
ได้เห็นโลกแบบอุดมคติ เพราะว่าสภาพในโรงเรียนเป็นโรงเรียนในฝันที่มีสังคมแสนดี
ทุกวันนี้ ทุกวันข้าพเจ้าพยายามรักษาเวลา ตรงต่อเวลามากขึ้น และมีอคติต่อคนไทยที่ไม่รักษาเวลาให้ดี
ข้าพเจ้ามีระเบียบวินัยมากขึ้น
ข้าพเจ้าพยายามรู้จักทุกคนให้ลึกซึ้ง เรียนรู้ทุกประเภทของคน มากกว่าตอน ม ปลายเยอะ
ข้าพเจ้าพยายามทำหน้าที่ประสานงานกับคนในสังคมมากขึ้น
มีความเป็นผู้นำและผู้ตามมากขึ้น ตอน ม ปลาย เป็นผู้ตามอย่างเดียว แต่ก็คอยสนับสนุนคนทำดีมากที่สุด
แต่ต้องยอมรับว่าเพราะ ม ปลาย พื้นฐาน ความสามารถ สิ่งต่างๆที่ดีที่สะสมไว้ ความคิด การเรียนรู้ อุดมการณ์ จึงทำให้ข้าพเจ้ามีวันนี้ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน และสิ่งที่ข้าพเจ้าภูมิใจ
และข้าพเจ้ารำลึกถึงบุญคุณทุกคนที่ช่วยเหลือ และทำให้ข้าพเจ้าได้เป็นถึงขนาดนี้ พ่อแม่ ญาติ ครูบาอาจารย์ พี่น้อง เพื่อนฝูง และอื่นๆ อีกมากมาย
สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป สำหรับสมัยนั้น และสมัยนี้ คือข้าพเจ้าคิดจะทำประโยชน์สูงสุดแก่สังคม
อุดมการณ์ข้าพเจ้าที่ไม่เคยเปลี่ยนที่จะมุ่งสายบริหาร
เน้นย้ำการพัฒนาทุกด้านระดับมหภาคของประเทศ ที่นักการเมืองไทยในประวัติศาสตร์ไม่เคยทำ และไม่เคยมีวิสัยทัศน์เพื่อพัฒนาชาติ มีแต่พัฒนาบัญชีธนาคาร และกอบโกยโกงกินเข้าตนเองและพวกพ้อง
"การศึกษา และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะเป็นหัวรถจักรผลักดันประเทศ"
ประเทศเจริญ พัฒนา และยิ่งใหญ่ เพื่อ WELL BEING ของประชาชน
มัธยมปลายข้าพเจ้าอาจเถลไถลไปบ้าง ทุกข์บ้าง สุขบ้าง แต่มาย้อนนึกแล้วเป็นวันเวลาที่ข้าพเจ้าใช้ชีวิตสบายๆ มากที่สุดเลย
เที่ยวเล่น นอนเยอะๆ เล่นเกม เล่นคอม ทำอะไรได้มากมาย
และMWIT นี้ สร้าง Perfect Livingจริงๆ
โรงเรียนประจำที่ระเบียบวินัยเข้ม ข้อบังคับเยอะ นักเรียนต้องทำกิจกรรมมากมาย เป็นข้อบังคับว่าต้องไปดูงานกี่ชั่วโมง ฟังบรรยายกี่ชั่วโมง ด้านอะไรบ้าง สังคม วัฒนธรรม วิชาการ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
บังคับว่าต้องอ่านหนังสือนอกเวลาปีละกี่เล่ม
ต้องออกกำลังกาย ต้องเล่นกีฬาปีละกี่ชั่วโมง
ต้องเข้าชมรมเทอมละสองชมรม ด้านต่างๆ วิชาการ กีฬา ดนตรี ฯลฯ
ต้องเรียนรู้ภาษาที่สาม (ข้าพเจ้าพูดจีนได้ไม่กี่คำเอง)
ต้องออกค่ายพัฒนาชุมชนปีละกี่ค่าย ต้องออกค่ายจริยธรรม ต้องเข้าค่ายวิชาการต่างๆ
และข้อบังคับทางด้านกิจกรรมอีกมามาย ฯลฯ
แม้ว่าหลายๆคนจะด่า หาว่าโรงเรียนนี้บ้า เครียด
แต่ผลพิสูจน์ชัด จากการคัดเลือกนักศึกษาระดับแนวหน้า และได้ผลิตทรัพยากรบุคคลอันมีค่าสู่สังคม และเน้นย้ำการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ให้สร้างคนให้มีจิตใจนักวิทยาศาสตร์ และมุ่งพัฒนาสร้างประโยชน์ต่อสังคมต่อไป
ผลิตยอดมนุษย์
สร้างยอดคน
โรงเรียนนี้ ไม่ได้เป็นความภาคภูมิใจ และข้าพเจ้าไม่ได้บ้าคลั่งโรงเรียน
แต่การได้อยู่โรงเรียนนี้ ได้จบ ได้รับการปลูกฝังจากโรงเรียนนี้ คือความภาคภูมิใจมากที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต
กลับมากล่าวถึงเรื่องวัน D DAY ที่ผ่านมา ข้าพเจ้ากล่าวไว้ว่าร่างแถลงการณ์ความจริงนั้น ตอนนี้ได้มีทั้งฉบับเต็ม และฉบับ Censored
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ แพทย์XXXX
หากเผยแพร่สู่สาธารณชน จะเกิดเป็นภัยในวงกว้าง และเกิดผลเสียต่อภาพลักษณ์คนภาพดีหลายๆคน และมหาวิทยาลัยเอกชนบางแห่ง
เรียกง่ายๆว่า เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าพัฒนาการ BLACK MAIL ได้ถึงระดับผู้ใหญ่ [ที่คิดว่าตนยิ่งใหญ่] ทั้งหลาย แล้ว (ฮา)
แต่ก่อน ไม่ได้black mailใคร อย่างมาก ก็มีแต่เล่นสนุกกับเพื่อนๆ
สุดท้ายนี้ ต้องกล่าวถึงประเด็นปัญหาชีวิตช่วงนี้
ความสูญเสีย คนรัก เพื่อนสนิท คนที่เข้าใจกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ผูกพันกัน ลึกซึ้ง เวลานานมาก
คนพิเศษ คนเก่งที่มีความสามารถ มีคุณธรรม กล้าเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง
คนที่สามารถพูดคุยกันได้ถูกคอ และเข้าใจกันได้ทุกเรื่อง
อย่างน้อยโลกเราก็หาคนที่มีอุดมการณ์ วิสัยทัศน์ และสนใจเรื่องราวของสังคม สู้เพื่อสังคมที่ตนเองอยู่ ได้น้อยมากในสังคมปัจจุบัน
คงกล่าวได้เพียงเท่านี้ เพราะว่ามันจบแล้ว อย่างไม่สวยงาม เจ็บกับทุกสิ่งที่ไม่ได้พูดความจริงตั้งแต่แรกนั้น
มันช่างเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าทำใจลำบาก และทุกข์ เสียใจเป็นอย่างมากมาได้หลายวัน หลายอาทิตย์
สามวันจากนารีเป็นอื่น
สรุปได้ว่า นารีเป็นอื่นน่ะครับ มิใช่ คนที่จากไป เป็นอื่น
ข้าพเจ้าผิดอะไร ถามไปก็คงไม่มีประโยชน์พราะอะไร เพราะว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ส่วนใหญ่นั้น ใช้อารมณ์ ฮอร์โมน ความชอบ ความหลงไหล และสัญชาตญาณ และบอกว่าเป็นความรัก อยู่เหนือความมีเหตุผล
(เลยชอบอ้างไงล่ะว่า ไม่มีรักหรือไม่รัก มีแต่ใช่หรือไม่ใช่เท่านั้นล่ะ ใครว่าล่ะ จริงๆแล้วเหตุผลว่า "ดีเกินไป" "เราเข้ากันไม่ได้" "ดี แต่ไม่ใช่" ส่วนใหญ่จึงเป็นเพราะหมดรัก และมีรักใหม่ต่างหาก) เพื่อนๆที่ตาบอดอยู่ระวังไว้นะครับ
ทำให้คิดถึงที่เขาบอกว่าความรักทำให้คนตาบอด แล้วนายต้องพงษ์บอกว่า ไม่ใช่หรอก ความรักไม่ได้ทำให้คนตาบอด แต่คนเรายอมปิดตาเพื่อความรัก (ซึ้งไหม บาดใจสาวๆ)
และผมก็คิดว่านั่นไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความหลงต่างหาก
ข้าพเจ้าตระหนักดีว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ไม่ได้เป็นของเราเลย ไม่เป็นเจ้าของ และไม่ผูกมัดใดใดได้
ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ไม่มีสิ่งใดเที่ยง
ข้าพเจ้าไม่เปรียบเทียบตนเองกับใคร และไม่ว่าใครจะดีกว่าข้าพเจ้าอย่างไร ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในสิ่งที่ข้าพเจ้าพยายามทำดี
คุณแม่บอกว่า หาใหม่ลูก หาใหม่ลูก
เป็นประโยคสรุป
"แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยวัยรุ่นนั้น หลายเรื่องจะฝังใจ"
แต่ข้าพเจ้าสรุปว่าที่กล่าวมาทั้งหมดนี่ อาจไม่ใช่เรื่องแฟนนะครับ อย่าได้สรุปไปเอง
ช่วงนี้ข้าพเจ้าจึงได้ใช้เวลาทำอะไรที่มีสาระ และไร้สาระ
สาระ
เขียนหนังสือ
บันทึกเรื่องราวต่างๆ
จัดระเบียบชีวิต
และพบปะเพื่อนเก่า ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ทานข้าวด้วยกัน สนุกสนาน คิดถึงวันเก่าๆ พูดคุยเรื่องราวที่มีสาระ หลายๆอย่าง สัมมนาแลกเปลี่ยนความคิด สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม ทรัพยกร โลกร้อน
ไร้สาระ
อ่านการ์ตูน
เล่นเกม
นอนเป็นเวลามากกว่าสิบสองชั่วโมง หลายวัน
ดูหนังหลายเรื่อง ทั้งซื้อดีวีดีมาดู และไปรับชมที่โรงภาพยนตร์
ชีวิตที่ยังมีความสุขดีอยู่นี้ ขาดอะไรเสียบ้างจะเป็นอะไรไป เนอะ
(พูดทั้งน้ำตา ฮ่าๆ)
Wolfgang Amadeus Graxiovani
โถ่ๆ เทศกาลอกหักกันเป็นแถว
Krittaya
.
อ่านแล้ว จะพูดอะไร ดี
ก้ออย่างที่กล้าเขียนทุกอย่างนั่นแหละนะ
รักตัวเอง รักครอบครัว อย่างที่กล้าเป็น นั่นแหละ ดีแล้ว
^________________^
.
Krittaya
.
อ่านแล้ว จะพูดอะไร ดี
ก้ออย่างที่กล้าเขียนทุกอย่างนั่นแหละนะ
รักตัวเอง รักครอบครัว อย่างที่กล้าเป็น นั่นแหละ ดีแล้ว
^________________^
.
Krittaya
.
อ่านแล้ว จะพูดอะไร ดี
ก้ออย่างที่กล้าเขียนทุกอย่างนั่นแหละนะ
รักตัวเอง รักครอบครัว อย่างที่กล้าเป็น นั่นแหละ ดีแล้ว
^________________^
.
Krittaya
.
อ่านแล้ว จะพูดอะไร ดี
ก้ออย่างที่กล้าเขียนทุกอย่างนั่นแหละนะ
รักตัวเอง รักครอบครัว อย่างที่กล้าเป็น นั่นแหละ ดีแล้ว
^________________^
.
Krittaya
.
อ่านแล้ว จะพูดอะไร ดี
ก้ออย่างที่กล้าเขียนทุกอย่างนั่นแหละนะ
รักตัวเอง รักครอบครัว อย่างที่กล้าเป็น นั่นแหละ ดีแล้ว
^________________^
.
Krittaya
.
อ่านแล้ว จะพูดอะไร ดี
ก้ออย่างที่กล้าเขียนทุกอย่างนั่นแหละนะ
รักตัวเอง รักครอบครัว อย่างที่กล้าเป็น นั่นแหละ ดีแล้ว
^________________^
.
KuRoSpY
สเปซพี่กล้าก้อเปงอารายที่ ปายอ่านจบแล้ว
ไม่รู้จะเม้นท์อารายซักครั้ง (เนื่องจากการเขียนสเปซของปายกะของพี่กล้าต่างกันมากกกกก)
ยังงัยก้อรักแม่มากๆ นะค้าบ
(จบไปแบบงงๆ)
Ratt
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงามและเจ๊บปวดในเวลาเดียวกัน
แต่สิ่งนี้ก็ไม่มีใครผิดใครถูกทั้งนั้น อาจเป็นเราที่ไม่สนใจ
หรืออาจเป็นเค้าที่ไม่หนักแน่นพอ หรือเป็นเพราะเราทั้งคู่ไม่เข้าจายกัน
ทั้งหลายทั้งปวง…มันคือสัจธรรม
สักวันความรักจะให้ผลทดสอบที่ดีแก่เราเอง ถ้าเราได้เจอคนที่ใช่แน่ๆ(แต่ไม่รู้ว่าจาอีกนานไม๊ )
แต่ตอนนี้ คนเราทุกคนก็มีความรักหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่แล้ว
จากพ่อจากแม่ เพื่อน พี่ น้อง…..
สู้ๆค๊าบบบบบ
Jummumm
กล้าเอ้ย ยย . . .พออ่านที่กล้าเขียนว่าไม่ได้อยากเรียนแล้วบ่นน่ะจะทำให้พ่อแม่ผิดหวังหรือเปล่า . . มันช่างมีประโยชน์จริง ๆกล้าต่อไปนี้มั่มจะไม่บ่นแล้ว ว ว. . .ขอบใจนะ. . . ^^
ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่รู้จาว่าไงดี . . . กำลังงง ๆว่าสรุปกล้าจะดีใจหรือเสียใจวะคะนี่เพื่อนก็เริ่มสับสน. . .ฮ่า ๆ ๆ. . .
เอาเอาก็เอาเพื่อนมาถึงขั้นนี้แล้วยังไงเพื่อนก็เป็นกำลังใจให้ละกัน. . .กล้าเก่งอยู่แล้ว ว วว เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อยเนอะ. . .
(ต๊าย ย นี่พูดแล้วกลืนน้ำลายลงคอ เอื๊อก ๆน้าเนี่ยฮ่า ๆ ๆ)
ดูแลตัวเองละกันน้า . . .สู้ ๆเพื่อน
pOopoO
ความสุขมีอยู่รอบตัวพี่กล้า อิอิ
ไงก็สู้ต่อไป
ถึงจะเม้นน้อยแต่ก็คิดถึงมากนะค้า ฮี่ๆ
Pyavudhi
…
Pyavudhi
ปลงมากไปก็ไม่สนุกสิครับ
ปล. ไม่ได้หยุดจากงานกีฬา แต่บังเอิญเรียนเจเนติกส์แล้วมันว่างน่ะครับ
*~:PeariezZ:~*
ไม่ค่อยได้คุยกันเรยเนอะ คุณลูกพี่ลูกน้อง ไม่ได้เจอกันนานเสียด้วย มาอ่านทีไรอุดมการณ์ยังมีเยอะเช่นเคย
น่าประจับใจจัง เหมือนเปรียบเทียบกันแล้วเรานี่ดูประเภทไร้สาระไปเรย
อยากจะบอกว่า ก็เหมือนที่กล้าบกแหละ สูญเสียอะไปก็ยังมีพ่อแม่ น้องๆที่น่ารักที่ยังรักกล้ามากมาย
แต่บางครั้งก่อนที่เราจะคิดได้ ความสูญเสียมันก็ทำให้เราเจ็บปวดเหลือเกิน
(ไม่ได้กล่าวถึงแฟน)ก็พูดรวมๆละกันเนอะ อย่าคิดมากมีไรถึแม้เราจะไร้สาระกว่ากล้า แต่ก็พอเป็นที่พึ่งได้เช่นกัน
คิดถึงๆๆ อิอิ
Monthiya
บางอย่างเราก็ไม่ได้รู้สึกดีตั้งแต่เริ่ม
แต่พออยู่ๆไป เราก็รู้สึกรักมันไปเอง
มันคงมีอะไรดีๆละล่ะ แต่มันคืออะไรล่ะ
เหออๆๆ
Patcharanan Tarn
ขอโทษนะกล้าเรารู้ว่าที่กลัเขียนหมายถึงใคร
ใครเจอก็คงเจ็บ
แต่คนที่พาดพิงถึงคนอื่นมันไม่แฟร์
เคยรุ้สึกดีๆแต่มสทำอย่างงี้คงไม่ดีแน่
ขอโทษที่มาพูดแบบนี้
แต่เราก็รักพี่เรา
รุ้ว่าอะไรเป็นยังไง
ขอเถอะ
leave my sis alone.
Stop blame her .
ลองคิดแบบไม่เข้าข้างตัวเองสิแล้วเดี๋ยวก็จะรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง
ไม่มีใครผิดหรอก
อะไรที่น่าทำก็ทำ อะไรที่ไม่น่าทำอย่าทำเลย เปล่าประโยชน์
ขอบคุณที่ให้ออกความคิดเห็น
Patcharanan Tarn
ไม่มีใครบอกให้ทำ
แต่เราทำเอง
ทนไม่ไหว
เพราะความรัก
mayo
เรายังอยากกลับบ้านอยู่เรยอ่ะ..
อยากมีวันหยุดยาวๆอีกจัง55
ช่วงนี้มีpblมากมายเหนื่อยมากๆเรย..ไม่ชอบpblเรยอ่ะ..
ส่วนเรื่องอื่นๆที่กล้าเขียนก้อ…อืมไม่รู้จะพูดไง..
ถ้าเค้าพบคนที่เค้าอยู่ด้วยแล้วมีความสุขมากกว่าอยู่กับเรา..
เราก้อน่าจะดีใจที่เห็นเค้ามีความสุขน้า..
อย่าคิดมากล่ะ..สู้ๆนะ
panupong
สวัสดีครับ หมอกล้า
zevy
เราก้อว่าพอมามหาลัยเราก้อทำอะไรที่ชดเชยที่ไม่ได้ทำตอนม.ปลายเหมือนกันแหละ
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
เป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นความเสียใจได้ไวๆนะ
นายทำได้อยู่แล้วแหละ สู้ๆ
panupong
สวัสดีครับหมอกล้า
panupong
สวัสดีครับ พี่กล้า
………………………
เหนื่อยไหม…..เหนื่อยกับการวิ่งหา
ไขว่คว้าอะไรก็ไม่รู้
เพียงแค่หวังว่าได้มาแล้วคงมีความสุข
ทั้งที่หลายต่อหลายครั้ง
ลึกลงไปแล้ว
หัวใจมันบอกเราว่า เรากำลังเดินผิดทาง
แต่ด้วยเพราะความเคยชินกับเส้นทางนี้เสียแล้ว
จึงคิดว่าเป็นทางที่ปลอดภัยที่สุด
เราจึงไม่พยายามที่จะหลุดออกจากมัน
เพราะความกลัว…
ที่เผชิญกับความไม่แน่นอน
……………………
คัดบางตอนจากหนังสือ เข็มทิศหัวใจ ของ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง
panupong
สวัสดีครับ พี่กล้า
………………………
เหนื่อยไหม…..เหนื่อยกับการวิ่งหา
ไขว่คว้าอะไรก็ไม่รู้
เพียงแค่หวังว่าได้มาแล้วคงมีความสุข
ทั้งที่หลายต่อหลายครั้ง
ลึกลงไปแล้ว
หัวใจมันบอกเราว่า เรากำลังเดินผิดทาง
แต่ด้วยเพราะความเคยชินกับเส้นทางนี้เสียแล้ว
จึงคิดว่าเป็นทางที่ปลอดภัยที่สุด
เราจึงไม่พยายามที่จะหลุดออกจากมัน
เพราะความกลัว…
ที่เผชิญกับความไม่แน่นอน
……………………
คัดบางตอนจากหนังสือ เข็มทิศหัวใจ ของ ศิริรัตน์ ณ พัทลุง
panupong
จากหนังสือเรื่อง……..จุดเปลี่ยน……….(ของญามิลา)
………………….
วันหนึ่งเรายังมีคนรักอยู่
แต่อีกวันเขาไม่ได้รักเราแล้ว
และวันต่อมา
เราสองคนก็กลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน
ชีวิตซึ่งเคยเคลื่อนที่ไปด้วยกัน
ก็แยกย้ายกันไปคนละทาง
เป็นการแยกและย้าย หรือไปมีชีวิตใหม่
จากนั้นก็อาจไม่ได้พบกันอีกเลย
ตลอดชั่วอายุขัย
ชีวิตคนเราเคลื่อนที่จากจุดหนึ่ง
ไปยังอีกจุดอย่างต่อเนื่อง
โดยมีจุดเปลี่ยนรอเป็นระยะๆ
เพียงแต่ไม่รู้ล่วงหน้าว่า
มันรออยู่ตรงไหนและจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
แค่นั้นเอง
………………..ขอส่งพลังใจมาให้หมอกล้าครับ