A-letter-to-Preeyanan จดหมาย ชเนษฎ์ ถึง ปรียานันท์ (เครือข่ายร้องเรียนแพทย์)
8 ตุลาคม 2559
เรียน คุณปรียนันท์ ที่อยากจะตบผมสักเปรี้ยงนั้น
วันนี้จะเขียนเรื่องของคุณ ที่ขอการชดเชยให้ลูก ที่ได้บรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่จบสิ้น (ยาว)
ผมเองไม่มีผลประโยชน์ อะไรกับ โรงพยาบาลพญาไท 1 หรือแพทยสภาทั้งสิ้น (เอาเป็นว่า จะด่า จะยุบแพทยสภา จะเผาโรงพยาบาลเอกชนทั้งประเทศ ก็ช่างเถอะตอนนี้ สังคมพินาศชิบหาย ผมก็อยู่ได้ เพราะไม่ขอใครกิน มีอาชีพสุจริต ไม่คดโกงใคร ไม่เป็นหมอ ก็ทำอย่างอื่นได้ครับ โดยที่ ไม่ต้องไปผ่าเสริมนม ผ่าอวัยวะเพศ เก็บเงินแพงๆ แล้วเชิดชูตนเองว่าเป็นคนดี หรือฟ้องวงการตนเองให้ชิบหายแล้ว คิดว่าตนเองเป็นเทพโปรดประชาชน)
ผมอยากจะเล่าเรื่องส่วนตัว อะไรให้ฟัง คือเรื่องพวกนี้ มันไม่จำเป็นต้องเล่า เป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ (และทางบ้านจะว่าทุกครั้งที่เล่า) แต่ด้วยความหวังดี จะได้รู้ว่าคนอื่นก็ทุกข์ได้ไม่แพ้ กรณี ของคุณ
1.ตอนแรกเกิด ผมก็เป็นเด็กด้อยการเจริญเติบโตในครรภ์ (IUGR) หัวโต ตัวลีบ ที่เป็นเช่นนั้น ตอนนั้นพ่อแม่ทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้าน งานหนักแทบสาหัส ถูกความกดดัน และการเป็นแพทย์ประจำบ้าน มีการตกลงกันในการฝึกสอน ว่า ห้ามตั้งครรภ์ แต่ก็เกิดการตั้งครรภ์ การทำงานหนักจึงทำให้ลูกในครรภ์ไม่ค่อยสมประกอบ
วันเกิดผม พ่อติดเวรผ่าตัด เพื่อนไม่ยอมให้แลกเวร ผมเกิดมาตัวเล็กนิดเดียว ยังกับแมลงสาบ ตาโตอย่างเดียว มีลักษณะหายใจเร็วเหมือนระบบทางเดินหายใจไม่ปกติ ต้อง นอนตู้อบหลายวัน หนักไม่ได้ 2 กิโลกรัม ดีด้วยซ้ำไป
แต่ทำไมพ่อแม่ของผมจึงไม่ฟ้องโรงพยาบาลศิริราชบ้างว่าเป็นสาเหตุให้ผมด้อยการเจริญเติบโต ??? เกิดก่อนกำหนด ??? มีปัญหาหลังคลอด ต้องเข้าตู้อบนานเป็นสัปดาห์ ??? ทำไมท่านไม่ฟ้องอาจารย์ที่ทำคลอด ไม่ฟ้องทีมแพทย์ที่ดูแลผมตอนเกิด
ผมกลับเรียนรู้ ที่จะขอบคุณศิริราชพยาบาล และคณาจารย์ ทีมงานสหวิชาชีพที่ทำให้ผมเกิดมา มีชีวิตบนโลกนี้ ผมยังมีโอกาสได้กราบอาจารย์หมอที่ทำคลอดผม จนแม้กระทั่งท่านล่วงลับ ผมก็ไปงานศพท่าน และระลึกทุกครั้งว่า ไม่มีท่านก็ไม่มีเรา (อาจารย์ พญ.ยุวัน อนุมานราชธน)
2.เนื่องจากเป็นเด็กด้อยการเจริญเติบโตในครรภ์ พอโตมาผมก็มีปัญหาลำไส้เน่า เป็นภาวะที่พบได้อันเนื่องจากการเป็นเด็กเกิดก่อนกำหนด (Meckel’s diverticulum)
เหตุเกิดตอน มัธยมต้น นอนๆอยู่ ตีสองตีสาม ผมปวดท้องดิ้นไปมาตลอดเวลา อาจารย์หอพักอุ้มผมขึ้นรถ ไปหาโรงพยาบาลเอกชนแถวนครสวรรค์ หมอบอกว่าผมเป็นโรคกระเพาะอักเสบ ให้ผมกลับไปนอน กินยาแก้ปวด
ทางบ้าน แม่ ให้พ่อผม รีบขับรถมาไกล เห็นว่าผม ปวด ท้องเกร็ง หน้าซีด ตัวเขียว พ่อผมเลยพากลับบ้าน และได้มอร์ฟีน เข้าห้องผ่าตัดทันที ผ่าตัดผมเองที่โรงพยาบาลจังหวัด ท่านตัดลำไส้เล็กส่วนปลาย ออกเป็นฟุต
ทำไมพ่อแม่ของผม จึงไม่ร้องแรกแหกกระเชอให้โรงพยาบาลศิริราช หรือใครมาชดใช้ย้อนหลัง 15 ปี? และไม่เคยร้องเรียนโรงพยาบาลเอกชนนครสวรรค์ ว่าไม่สามารถวินิจฉัยได้ จนผมเกือบตาย
ผมกลับขอบคุณอาจารย์ที่อุ้มผมไปส่งโรงพยาบาลกลางดึก (อ.พงษ์ศักดิ์ ธานีตระกูล โรงเรียนนครสวรรค์) และกราบคุณพ่อคุณแม่ที่ทำให้ผมรอดมาได้ และถ้าไม่มีคุณ บุคคลเหล่านี้ ผมก็ตายไปแล้ว
3. ทุกวันนี้ จากการเป็นเด็กก่อนกำหนด ทำให้ ตั้งแต่เล็กจนโต ผมมีลักษณะการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อขนาดเล็กไม่ปกติ (fine movement disorder) แปลว่าผมไม่สามารถร้องเพลง หรือ รำ หรือ เคลื่อนไหวแบบราบรื่น ได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก
อย่างนี้ผมควรจะไปฟ้องร้องย้อนหลัง 30 ปี กับ โรงพยาบาลแรกเกิดดีหรือเปล่า ? ว่าทำให้ชีวิตผมหมดสุนทรียภาพในการใช้ชีวิต ต้องถือป้าย ออกสื่อมวลชน เพื่อเรียกร้องการชดเชย หรือไม่ ? …
4. จริงๆมีอีกหลายเรื่อง ผมป่วยเป็นโรคหูดับ เป็นนิ่วในไตบ่อย เป็นโรคเลือดเปราะ (G6PD) ฯลฯ ซึ่งก็ล้วนประสบความยากลำบากในการรักษาทั้งนั้น
และตอนที่ผมเรียนแพทย์อยู่ ทำงานหนัก กระทั่งหูดับต้องนอนแอดมิท พี่แพทย์ประจำบ้าน ยังไม่ให้นอนรักษาตัว กลับโทรเรียกกลับมารับใช้ทำงาน จนหูแทบพิการตลอดชีวิต (ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมาก แต่ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานจนจบ หูก็จะไม่ค่อยดีเท่าไร)
ทำไม ผม จึง ไม่ เคย โทษ หมอ หรือโรงพยาบาลที่รักษา ผม ได้ไม่ดีเท่าที่ควร เลย? ผมไม่โทษระบบการเรียนการสอนแพทย์ ไม่โทษแพทย์ประจำบ้านท่านนั้น ไม่โทษคณบดี ไม่โทษมหาวิทยาลัย ที่ทำให้ผมต้องเผชิญความยากลำบากทางสุขภาพในชีวิต ?
.
.
.
.
.
.
.
เพราะ โรค หรือภาวะ ทั้งหลายที่เกิดนั้น หลายเรื่องมันไม่ใช่ความผิดของพวกหมอ บุคลากรสาธารณสุข เพียงอย่างเดียว
อาจ ผิดที่เราป่วยเอง ผิดที่เราไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ผิดที่มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้การวินิจฉัย การรักษา ไม่เป็นไปตามคาดหมาย ผิดที่ “การเลือก” สถานพยาบาล ของเราเอง ผิดที่เวลา สถานที่ บุคคล จังหวะ ต่างๆ? อาจผิดที่เราดันเกิดมาเป็นคนก็ได้ เพราะคนย่อมไม่สมบูรณ์แบบ และทุกคนล้วนประสบความลำบากทั้งนั้นในชีวิต
บุคลากรสาธารณสุข ท่านทำดีกันเป็นส่วนใหญ่ ผลหลายครั้งอาจไม่ได้สำเร็จ เราก็ยังเห็นเจตนาอันดี ในการช่วยคน
ถ้าผมใช้ชีวิต และคิด เหมือน คุณปรียนันท์ ชีวิตนี้ผมไม่ต้องเรียน และไม่ต้องทำงานแล้ว ผมต้องตามจับผิดหมอ จับผิดบุคลากรสาธารณสุข ตามด่า ตามถือป้าย ฟ้องร้องคนพวกนี้ จ้องล้างผลาญโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้อง ทุกวัน และทวงบุญคุณ ทวงการชดเชยตลอดเวลา ป่าวประกาศ บอกสังคม ว่าผมเสียหายขนาดไหน และต้องการรับการชดเชยไม่จบสิ้น จนกว่าผมจะหมดอายุขัย ผมจะเรียกประชาชนมาช่วยกันรุมด่า พวกหมอ และ ลามปามไปถล่มแพทยสภา ด่าหมอทั้งวงการ เพื่อให้พวกมันทุกข์ทรมาน เหมือนที่ผมเคยได้รับความทุกข์ตอนเด็ก และมองว่าพวกมันคือต้นเหตุทุกปัญหาที่ทำให้ผมพบกับความเจ็บป่วยในโลกนี้
การทำเช่นนั้น มันเป็นความสุขอย่างไรหรือ? มันสะใจอย่างไรหรือ? มันทำให้ชีวิตเราหลุดพ้นอย่างไรหรือ?
คุณปรียนันท์ควรตั้งสติ ไม่มีอะไรในโลกเป็นตามใจเราตลอดเวลา ลองพิจารณาตามจริง เถิดว่าคุณ หรือ สังคม กันแน่ ที่ไม่ปกติ ?
ถ้าเราโทษคนอื่นเสมอ ไม่ย้อนมองดูตนเอง ไม่ดู สิ่งที่เกิดขึ้น ตามจริง เราก็จะมองว่า ทุกสิ่ง มันก็คือความผิดของโลก ของสังคม ตลอดไป
คุณไม่ได้ทุกข์ร้อนคนเดียว ครับ ในโลกนี้ มีคนอีกมากมายทุกข์ มากกว่าคุณมาก เพียงแต่เขาไม่ต้องคอยร้องเรียน แหกปาก ด่าชาวบ้าน ด่าคนอื่น เขาจะพยายามแก้ไข และยอมรับสิ่งที่เกิด ความเสียหายผิดพลาด คือบทเรียน ให้เรียนรู้ และสู้ต่อไปในทางสร้างสรรค์
คุณรู้ไหมว่า คนในโลกจำนวนมาก เกิดมา ต้องสูญเสีย บิดามารดา เสียพี่น้อง เสียครอบครัว แต่คุณโชคดี ที่ยังมีครอบครัว มีคนรัก มีประชาชนสนับสนุน สิ่งนี้คือพรอันประเสริฐที่ได้รับมา และโชคดีกว่าอีกหลายคน
อาจารย์เซ็นต์ ลูก คุณปรียนันท์ ก็รุ่นราวคราวเดียวกับ น้องชายผม ซึ่งแปลว่ารุ่นใกล้กัน ไม่แก่ห่างกันมาก แม้คุณจะเกลียดหมอหรือเกลียดผมขนาดไหน ผมก็อยากจะบอกว่า สิ่งที่สำคัญ คนเราควรมีศักดิ์ศรีในชีวิต
อาจารย์เซ็นต์ ควรจะกราบคุณแม่ปรียนันท์ และบอกท่านให้หยุด ที่ผ่านมาท่านทำดีมากแล้วกับการสู้เพื่อลูก เป็น สองทศวรรษ
หยุดเถิด การเรียกร้อง ขอสิ่งต่างๆ จากคนอื่น หยุดด่าคนอื่นสร้างเวรกรรมไม่จบสิ้น
เพราะโลกนี้ ไม่ได้ดีขึ้นด้วยคำด่า หรือ การท้าตบ ท้าทำร้ายร่างกายคนอื่นไปวันๆ
โลกนี้ดีขึ้นด้วยการทำงานเชิงสร้างสรรค์ครับ
หากคุณสามารถ มองโลกในแง่บวก ทำงานสร้างสรรค์ จะปลูกต้นไม้ขาย ทำเกษตรอินทรีย์ กิจการเล็กๆน้อยๆ มีบ้านที่พักอยู่ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของครอบครัวคุณ สามารถดูแล ครอบครัว คนรัก คนใกล้ชิดตนเอง และ เป็นที่พึ่งให้คนยากไร้ ต่อไปได้ นั้นคือสิ่งดี สังคมจะอนุโมทนา และเชิดชูคุณ
และควรจะเป็นความภาคภูมิใจในชีวิต ว่าเราสามารถเป็นที่พึ่งของตนเอง ครอบครัว และคนรอบข้างได้
What is on your mind? CS ตอบ - (A) Blog (of) Gla : Chanesd Srisukho
[…] CS […]