นักการเมืองโรคจิต
อยู่โรงพยาบาล พบว่า ทุกวันนี้คนป่วยเพิ่มมากขึ้น…
เจ็บไข้ได้ป่วยทางกายไม่พอ ยังป่วยใจกันอีกต่างหาก…
ท่ามกลางสภาพปัญหา สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ของประเทศไทยปัจจุบัน
ปัญหาปากท้องประชาชน รายได้ไม่เพิ่ม ในขณะที่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นมาก อาหารการกิน ข้าวแพงขึ้น น้ำมันแพง ค่ารถแพง เสื้อผ้า อุปกรณ์ใช้สอยต่างๆแพงขึ้น คนหาเช้ากินค่ำอยู่ลำบาก จน เครียด กินเหล้า
สังคมที่เสื่อมถอย สถิติอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ฟังข่าวแต่ละวันแล้วเศร้าใจ ปล้น-ฆ่า-ข่มขืน-หมกศพ-หมกส้วม ทั้งนี้เป็นเพราะคนไม่มีทางออกกับปัญหาความเครียด อาชญากรหลายคนอ้างว่าไม่มีทางเลือก
ปัญหาสื่อมวลชน ขายข่าวไม่สร้างสรรค์ ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ แทนที่จะเผยแพร่ความรู้ ให้ปัญญากับประชาชน สร้างสรรค์คุณธรรมจริยธรรมอันดี กลับกลายเป็นสื่อมุ่งแสวงหาผลกำไร แข่งขันกันหารายได้บนความเสื่อมของสังคม สื่อหลายสำนักทุกวันนี้ ขายความบันเทิงชั่วครู่ แต่ให้ความทุกข์และสร้างปัญหายืนยาวกับประชาชน จนไปสู่ปัญหาสังคมระดับชาติ ประชาชนอยู่ในสังคมที่มีแต่ความเสื่อม สภาพจิตใจย่ำแย่
การเมือง เป็นการต่อสู้ของสองฝ่ายอย่างยืดเยื้อ เรื้อรัง ฝ่ายหนึ่งอ้างเสียงข้างมากของบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง อีกฝ่ายอ้างประชาชนผู้ปกปักษ์พิทักษ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จนพัฒนากลายมาเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” (วาทะแกนนำพันธมิตรฯ) เพื่อวัดกันไปเลยว่าประเทศไทยจะมีการปกครองแบบใด ระหว่างระบอบปัจจุบัน กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองกลายเป็นระบอบสาธารณรัฐ
การต่อสู้ทางการเมืองนี้ ฝ่ายหนึ่งบอกชัดว่าไม่สมานฉันท์กับโจรปล้นชาติ แม้จะมีคนบางส่วนในสังคมออกมาสร้าง ขบวนการริบบิ้นสีขาว ให้ทุกฝ่ายสมานฉันท์ แต่ก็ยัง “คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะฝ่ายหนึ่งไม่รู้เรื่อง” (คำพูด ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน 8 มิถุนายน 2551) “ฝ่ายหนึ่งบอกว่าต้องเอาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและอย่าไปแทรกแซงแล้วถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบประเด็นนี้ มันก็พูดกันต่อไปลำบาก” เรื่องราวการต่อสู้ สงครามที่ยืดเยื้อนี้ ทำให้คนที่ไม่สนใจการเมืองและประชาชนอีกมาก เบื่อการเมืองเป็นที่สุด ประชาชนเศร้าซึม กังวล เครียด
ยังไม่นับนักการเมืองผู้ใหญ่อีกหลายท่านในบ้านเมือง ที่ทุกวันดีแต่ใช้ปากโจมตีสื่อ โจมตีคนที่ไม่เห็นด้วย ใช้คำ หยาบคาย แต่กลับรณรงค์ให้นักเรียนไทยสมัยนี้ใช้ภาษาให้ถูกต้อง แหม! มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะครับ ไอ้กระผมก็ลำบากใจในเมื่ออ้ายพวกนักการเมืองทุเรศยังทำไม่ได้เลย มันถ่อยดีจริงๆ (ผู้เขียนไม่ได้เลียนแบบคำพูดใครนะครับ)
จากการศึกษา วงการแพทย์พบว่า สถิติคนป่วยทางใจเพิ่มขึ้นทุกปี ป่วยเป็นโรคจิต ก็เพิ่มขึ้นมาก
โพลล์ต่างๆสำรวจดรรชนีชี้วัดความสุขประชาชน ลดลงฮวบฮาบกันเป็นแถว
เราจะหาทางออกกันอย่างไรดี? กับวิกฤตชาติบ้านเมืองในตอนนี้ ไว้จะเขียนในตอนถัดๆไป…
ตอนนี้ ขอเล่าอะไรน่าสนใจให้ผู้อ่านฟังก่อน เพราะพอพูดถึงนักการเมืองทีไร เรามักจะคิดถึงภาพพฤติกรรมการโกงกิน ทุจริต การโกหก โป้ปด การใช้อำนาจมืด เส้นสายในทางที่ก่อความฉิบหายแก่ประเทศชาติ การมั่วเซ็กซ์ ผิดลูกผิดเมีย การผิดศีลธรรม จริยธรรมอันดีของสังคม และ อื่นๆ ฯลฯ สารพัด
ผมจะพยายามอธิบายพฤติกรรมเล่านี้ โดยใช้ความรู้ทางการแพทย์ที่เรียนมา
พฤติกรรมที่พวกนักการเมืองเหล่านี้ทำ เป็นการแสดงออกทางแบบแผนหรือลักษณะจำเพาะของแต่ละบุคคล เป็นผลรวมของความรู้สึกนึกคิด การรับรู้ ที่ดำเนินไปในชีวิตประจำวันปกติ เมื่อมีการแสดงออกที่ผิดปกติมากจนเกินไป จะเรียกว่าได้ว่ามี “ความผิดปกติของบุคลิกภาพ” พวกนี้จะเป็นโรค “พฤติกรรมเบี่ยงเบน” และต่างจากคนปกติมาก
ตัวอย่างเช่น เรื่องอารมณ์แปรปรวน ในคนปกติสามารถอารมณ์แปรปรวนได้ เช่น ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น
สำหรับผู้ที่อารมณ์แปรปรวนมากๆจนเกินพอดี เช่น คนบางคน ตอนแรก อารมณ์ดี หัวเราะ ยิ้มแย้ม ชิมไปบ่นไป อีกสิบนาที ซึมเศร้า นิ่งเงียบ อีกห้านาทีกลับมาหัวเราะชอบใจอีก อีกสักพัก พอผู้สื่อข่าวถาม ก็โกรธพาลโมโห ด่ากราดคนอื่นไปทั่ว อันนี้ คนทั่วไปเห็นก็รู้ว่าบ้า และพบได้ในนักการเมืองบางท่าน เรียกว่า เป็นความผิดปกติของบุคลิกภาพ หรือมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน นั่นเองครับ
ในภาษาทางการแพทย์ มีคำหลายคำที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพ วันนี้ขอยกตัวอย่างเพื่อให้ความรู้เฉพาะบางคำ
Histrionic หรือ ฮิสทีเรีย คนทั่วไปน่าจะเคยได้ยินคำว่า ฮิสทีเรีย และพาลนึกไปถึงผู้หญิงที่ชอบอยู่กับผู้ชาย จริงๆแล้วไม่ใช่ ฮิสทีเรียหมายถึง ลักษณะการชอบเรียกร้องความสนใจอย่างมาก
เราจะเห็นนักเมืองหลายท่านมีพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจสูง โดยจะแสดงความคิด และความรู้สึกที่เกินความเป็นจริง แสดงสีหน้าท่าทางเกินจริง จะชัดเจนมากในช่วงเลือกตั้ง และในทุกวันนี้จะเห็นได้ในการแถลงข่าวต่างๆ พวกนี้จะทำทุกสิ่งให้มีความสำคัญมากกว่าที่เป็นอยู่ คือการสร้างภาพ ว่าตัวเองทำสิ่งต่างๆยิ่งใหญ่ มีบุญคุณต่อประเทศชาติ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วอาจไม่ใช่เลยก็ตาม
ลักษณะพวกนี้ ยังมีเพิ่มเติมอีก คือเวลาพูดคุยมักจะจีบปากจีบคอ ทำตัวเหมือนแสดงละคร ใช้ภาษาสละสลวย จะเห็นได้ในนักการเมืองบางท่าน พูดภาษาอังกฤษอย่างสละสวยโจมตีศักดินา แล้วหาว่าคนอื่นแปลเป็นไทยผิด รวมถึงพวกนี้ มักจะทำตัวให้ดูดี หวีผมเรียบแปล้ อยู่ตลอดเวลา จนคนพาลคิดว่าเป็น “เจ๊”
Borderline นี่คือพวกอารมณ์แปรปรวน มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่มั่นคง มีความผันแปรบ่อย พวกนี้ถ้าใครดีด้วยจะเทิดทูนบูชาอย่างมาก แต่ถ้าใครไม่เห็นด้วย มักจะโกรธอย่างรุนแรง ไม่เห็นความดีของคนคนนั้นอีกเลย จะเห็นได้จากนักการเมืองที่ผลักผู้ไม่เห็นด้วยหรือผู้คัดค้านไปเป็นศัตรูเสียทั้งหมด ประชาชนคนไหนไม่เลือกพรรคเราก็จะไม่ดูแล ถือเป็นศัตรู
Dependent คือพวกยึดถือพึ่งพา จะไม่สามารถทำอะไรได้เองเท่าไร อยากเป็นผู้ตาม ต้องให้มีคนนำก่อน ไม่ค่อยกล้าทำอะไรเอง ต้องให้คนอื่นมาทำให้ จะเห็นได้จากนักการเมืองที่ย้ายพรรค ย้ายมุ้งบ่อยๆ เพราะขาดเจ้านายไม่ได้ เพราะจะรู้สึกขาดที่พึ่งพิง และรู้สึกขาดเงินด้วย
Narcissitic พวกนาซีนั่นเอง คิดถึงพวกจอมเผด็จการ หรือนายกฯบางสมัยก็ได้ พวกนี้จะ คิดว่าตัวเองเป็นบุคคลพิเศษ หลงตัวเอง คิดว่าตัวเองมีความสำคัญอย่างมาก พวกนี้ชอบได้รับคำชม คำสรรเสริญเยินยอ แต่จะทนไม่ได้เลยกับคำวิพากษ์วิจารณ์ คำด่าทอ แม้ว่าจะเป็นคำวิจารณ์จากผู้หวังดีก็ตาม
คนพวกนี้มักเพ้อฝันถึงความสำเร็จ ชื่อเสียง หรือความสวยงามของตน วาดฝันโครงการเมกะโปรเจ็คล้านล้านบาทเลิศเลอ ที่อาจทำไม่ได้จริง
คนรอบข้างทั่วไปมักมองว่าพวกนี้ไม่เคยเห็นใจคนอื่น ไม่เคยพยายามเข้าใจความรู้สึกของคนรอบตัว หรือผู้ร่วมงาน ในบางครั้งพวกนี้จะเป็นพวกชอบหลอกใช้คนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
แต่อย่างไรก็ตาม ฟ้าได้ลงโทษพวกนี้ เนื่องจากว่า ลึกๆแล้วพวกนี้จะมีความมั่นใจแบบเปราะบาง ถ้าโดนโจมตีมากๆเข้าก็จะซึมเศร้าได้ง่าย เช่น โดนม็อบประท้วง พวกนี้จึงต้องอาศัยหมอดีและเก่ง คอยช่วยเหลือ รักษา ให้ยา บรรเทา ก็จะกลับมาบ้าพลัง บ้าอำนาจ ได้เหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม ลาภ ยศ อำนาจ เงินตรา ทรัพย์สินไม่ยืนยง พอสิ้น อำนาจ สิ้นทรัพย์สิน ก็จะรู้สึกเหี่ยว และตายไปเองอย่างอเนถอนาถ
Schizophrenia เป็นโรคจิตที่พบบ่อยที่สุด มักมีอาการในช่วงวัยรุ่น รายละเอียดไม่ขอลงลึก ให้ไปหาอ่านเอง แต่ที่ชัดเจน ควรรู้ไว้คร่าวๆ คือ คนที่เป็นโรคนี้ จะมีความรู้สึกหลงผิด ที่เกินกว่าความเป็นจริง เช่นนึกว่าตนเองยิ่งใหญ่ถึงขั้นครอบครองประเทศชาติได้
พวกนี้มักมีอาการประสาทหลอนด้วย โดยเฉพาะ หูแว่ว ได้ยินเสียงเป็นเรื่องเป็นราว เช่น เดินไปตามถนน ได้ยินเสียงคนพูดกันเรื่องตัวเองกันมากมาย หรือ เสียงวิจารณ์ตัวเอง ด่าตะโกนให้ “เข้าคุก” “ออกไป”
[คลิกเพื่ออ่านต่อ Read more…]